ตำรวจภูเก็ตจัดฝึกทบทวนกองร้อยควบคุมฝูงชน
เมื่อเวลา 10.00 น.วันนี้ (27 ม.ค.) ที่บริเวณลานจอดเฮลิคอปเตอร์ หลัง สถานีตำรวจภูธรเมืองภูเก็ต พล.ต.ต.พิกัด ตันติพงศ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานอำนวยการฝึกซ้อมกองกำลังปราบปรามการก่อเหตุจลาจลและการฝึกแถวเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต จำนวน 2 กองร้อยๆ ละ 300 นาย เพื่อทบทวนหลักสูตรการฝึกแถวประจำปีและการเตรียมความพร้อมในการรับมือสถานการณ์ต่างๆ จากกลุ่มผู้ชุมนุมที่อาจเกิดขึ้นได้ช่วงที่การเมืองของประเทศยังไม่นิ่ง โดยมี พ.ต.อ.โกมล วัตรากรณ์ รอง.ผบก.ภ.จ.ภูเก็ต เป็นผู้ควบคุมการฝึก ซึ่งมี พ.ต.อ.กฤษศักดิ์ สงมูลนาค ผกก.สภ.กะทู้ คุมกองกำลังกองร้อยที่ 1 และ พ.ต.อ.ธรรมนูญ ไฝจู ผกก.ถลาง คุมกองกำลังกองร้อยที่ 2 โดยมี นายเกร๊ก มิลเลอร์ หัวหน้าส่วนป้องกันกองกำลังทหารสหรัฐอเมริกาประจำภาคพื้นเอเซียและ นายดักลาส โรบินสัน ทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยร่วมชมการฝึกซ้อมและจำลองสถานการณ์ทุกขั้นตอน
สำหรับการฝึกซ้อมควบคุมฝูงชนในครั้งนี้ได้มีการจำลองสถานการณ์เสมือนจริง คือ โดยตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ตได้รับมอบหมายให้รักษาความปลอดภัย ภายหลังได้มีประชาชนกว่า 300 คนรวมตัวชุมนุมกันที่บริเวณศาลากลางจังหวัดภูเก็ต โดยแกนนำปลุกระดมโจมตีรัฐบาลให้ยุบสภา แต่เมื่อข้อเรียกร้องไม่ได้รับการตอบสนอง กลุ่มผู้ชุมนุมได้ปิดล้อมทางเข้าออกศาลากลางจังหวัด เพื่อกดดันรัฐบาลให้รับข้อเสนอ โดยเจ้าหน้าที่ได้พยายามเจรจากับกลุ่มผู้ชุมนุม แต่ไม่ได้รับความร่วมมือใด ๆ ทั้งสิ้น โดยกลุ่มผู้ชุมนุมยังคงกดดันเจ้าหน้าที่ จนเกิดการปะทะกันขึ้น เจ้าหน้าที่ใช้โล่ป้องกันและผลักดันกลุ่มผู้ชุมนุม สุดท้ายกลุ่มผู้ชุมนุมได้ล่าถอยออกไป ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บจากการปะทะและถูกนำส่ง รพ.
หลังจากนั้นแกนนำได้ปลุกระดมกลุ่มผู้ชุมนุมอีกครั้ง โดยกล่าวหาเจ้าหน้าที่ทำร้ายประชาชน สร้างความโกรธแค้นให้กลุ่มชุมนุมจนรวมตัวกันเพิ่มมากขึ้น และมีการนำอาวุธจำพวกก้อนหิน ไม้ มีดพร้าและอื่น ๆ มาประจันหน้ากับเจ้าหน้าที่ ทำให้สถานการณ์มีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องใช้รถดับเพลิงและแก็สน้ำตาเข้าสลายการชุมนุม ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บหลายราย ส่วนที่เหลือได้สลายการชุมนุมไป ซึ่งมีผู้ชุมนุมบางส่วนถูกจับกุม เนื่องจากการรวมตัวทำให้เกิดความเสียหายต่อส่วนรวม ไม่ใช่การรวมตัวตามสิทธิรัฐธรรมนูญ ...
ภาพข่าวโดย : กอล์ฟ
Posted by : ทีมข่าวภูเก็ตอีนิวส์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น