เขียนโดย : จักรภพ เพ็ญแข
วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม 2010 เวลา 23:55 น.
น่าดีใจที่สมรภูมิการเมืองในเมืองไทยชัดเจนขึ้นทุกวัน มวลชนเข้าใจแล้วว่า สามปีที่ผ่านมาและต่อไปคือ การสู้รบในเชิงระบอบ (regime) ไม่ใช่เพียงแข่งขันเป็นรัฐบาล หรือแค่มุ่งหวังให้ฝ่ายอำนาจเก่านิรโทษกรรมให้กับฝ่ายอำนาจใหม่และอยู่กัน ต่อไปอย่างผาสุกเหมือนในนวนิยาย แบ่งข้างชัดเจนระหว่างระบอบประชาชน (ประชาธิปไตย) กับระบอบเหนือประชาชน (เผด็จการอำมาตยาธิปไตย)คนที่ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ตรงกลางคือ
1. คนที่ยังไม่รู้
2. คนที่รู้แล้วแต่ไม่เลือกข้าง
3. คนที่รอตามแห่ (ชนะไหนเอาด้วย)
ผมไม่จัดคนประเภทที่พูดเสมอว่า ไม่สนใจ หรือไม่ชอบการเมืองไว้เป็นอีกกลุ่มหนึ่ง เพราะหากท่านเหล่านี้รู้ถึงเดิมพันชีวิตของตัวเอง ครอบครัว และลูกหลานของเขาที่แขวนอยู่กับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเมืองไทยในขณะนี้แล้ว เขาจะต้องบังคับตัวเองให้สนใจ และใส่ใจ ผู้ที่มักกล่าวอ้างเช่นนี้จึงถือว่าอยู่รวมกับกลุ่มที่ 1 คือคนที่ยังไม่รู้
สิ่งหนึ่งที่ชี้ว่าทั้งสองระบอบได้เข้าสู่ระยะเผชิญหน้ากันแล้วคือ ประเด็นของฝ่ายประชาธิปไตย ว่าด้วยที่ดินบนเขายายเที่ยงของ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรีของคณะรัฐประหาร และประเด็นเงินอายัด 76,000 ล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีผู้ถูกรัฐประหาร ซึ่งเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้นเอง
มองประเด็นที่ดินบนเขายายเที่ยงให้ลึก เราจะพบอะไรในเชิงระบอบและโครงสร้างสังคมไทยได้มาก คนเป็นจำนวนมากเชื่อว่า พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี เกี่ยวข้องกับการวางแผนโค่นล้มรัฐบาลจากการเลือกตั้งของประชาชนมาตลอด การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนแรก และคนเดียวของ คมช. ช่วยตอกย้ำความเชื่อนี้
ความแค้นเฉพาะตัวคือกรณีเมียนมาร์ ที่สั่งให้ทหารไทยปลอมเป็นไทยใหญ่ แล้วเข้าไปฆ่าทหารเมียนมาร์เสียหลายร้อยคน ขณะเป็นผู้บัญชาการทหารบก จนในที่สุดกลายเป็นเหตุผลหลักที่ถูกแขวนในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด
แต่ความแค้นในระดับระบอบเกิดขึ้นในใจของคนที่สูงกว่าพลเอกสุรยุทธ์ฯ โดยเฉพาะเมื่อนายกรัฐมนตรีทักษิณฯ ในเวลาต่อมาปฏิเสธไม่อนุมัติงบประมาณค่าน้ำมันเชื้อเพลิงรถถังที่นำไปปฏิบัติการ จนต้องจอดเรียงรายข้างถนน พลเอกสุรยุทธ์ฯ และพลเอกเปรมฯ จึงใช้เรื่องนี้เป็นเหตุจูงใจให้คนที่อยู่สูงขึ้นไปร่วมเกลียดชังคุณทักษิณฯ ขึ้นอีก
แต่โดยส่วนตัวแล้วผมเชื่อว่าพลเอกสุรยุทธ์ฯ ชิงชังคุณทักษิณฯ ลึกซึ้งกว่านั้น
คนๆ นี้ภูมิใจว่าตัวเองเป็นนายพลปัญญาชน และเคยเรืองแสงอยู่ในหมู่นักวิชาการใน พระบรมราชูปถัมภ์ แต่เมื่อบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยขึ้น “ปลาใหญ่ในบ่อน้อย” อย่างคุณสุรยุทธ์ฯ ก็ลดสภาพเป็นเพียงสัตว์น้ำตัวเล็กๆ ในบ่อ เมื่อผนวกเรื่องนี้เข้ากับการสั่งลดอำนาจอย่างฉับพลันในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก (ซึ่งถือเป็นความปรานีแล้ว เพราะโทษฐานที่เคลื่อนกำลังโดยไม่ขออนุมัติจากผู้บังคับบัญชาที่เป็นหน่วยเหนือหนักหน่วงกว่านั้นมาก) เรื่องจึงกลายเป็นแค้นที่ต้องชำระขึ้นมา
ส่วนลัทธิคอมมิวนิสต์ที่พลเอกสุรยุทธ์ฯ ดูจะลุ่มหลงเลื่อมใส ขนาดรับเป็นโยมอุปฐากคนสำคัญของเครือข่ายพัฒนาชาติไทยหรืออดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ฯ มาจนถึงปัจจุบัน จนเกิดแนวคิดว่าคุณทักษิณฯ เป็นนายทุนที่ต้องกำจัดให้สิ้นซากหรือไม่นั้น ผมบอกไม่ได้ ได้แต่สังเกตการณ์ประเด็นนี้อย่างเงียบๆ
การชี้เป้าไปที่กรณีที่ดินเขายายเที่ยงมีความหมายมากกว่าตัวคุณสุรยุทธ์ฯ และภรรยา เอาสองคนนี้ไปเข้าคุกได้ก็ไม่เท่ากับการกระชากหน้ากากของระบอบอำมาตย์เมืองไทยจากภาพลักษณ์อย่าง “พระเอก” และ “คนดีศรีสังคม” เพื่อให้คนทั้งชาติรู้ว่าสันดานอำมาตย์ไทยแท้ที่จริงเป็นฉันใด
คำถามต่อสังคมไทยในกรณีคุณสุรยุทธ์ฯ ได้แก่
1. คุณสุรยุทธ์ฯ และภรรยากระทำความผิดอย่างโจ่งแจ้งขนาดนี้ได้อย่างไรโดยไม่มีความผิด
2. เมื่อประชาชนจะเอาเรื่องกับคุณสุรยุทธ์ฯ และภรรยา ระบอบอำมาตย์จะกรีธาทัพเข้ามาช่วย ”พวก” ของตัวอย่างไร ไม่กี่วันมานี้เราเห็นบทบาทของหน่วยหน้าอย่างกองทัพภาคที่ 2 กรมป่าไม้และสำนักงานอัยการสูงสุดมาแล้ว เราจะได้รับรู้ร่วมกันต่อไปว่า “พวกเขา” ประกอบด้วยใครอีกบ้าง
3. จะมีความยุติธรรมไหลลงมาจาก “ยอดดอย” บ้างหรือไม่
ส่วนฝ่ายอำมาตย์ เมื่อตระหนักความจริงที่ว่าขบวนการประชาธิปไตยของสังคมไทยแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน ไม่ใช่มาจากกระแสเงินของคุณทักษิณฯ เพราะไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยกันเสียที และมีหน้าใหม่ๆ เพิ่มขึ้นตลอดเวลา ก็ต้องโหมทำสงครามสื่อรอบสุดท้ายด้วยการหยิบยกประเด็นเงินอายัด 76,000 ล้าน
ขบวนการโฆษณาชวนเชื่อของอำมาตย์พยายามชี้นำสังคมไทยอย่างสุดฤทธิ์ว่า คุณทักษิณฯ และครอบครัวเคลื่อนไหวมาทั้งหมดก็เพื่อให้ได้เงินที่ถูกอายัดนี้คืน ไม่ใช่เพื่อประชาธิปไตยเลย เจตนาของอำมาตย์คือทำให้พลังประชาธิปไตยบริสุทธิ์เกิดลังเลใจว่า ควรสนับสนุนคุณทักษิณฯ ต่อไปหรือควรถอนตัวไปอยู่บ้านเฉยๆ หวังเอาไว้มากทีเดียวว่า ความลังเลใจเช่นนั้นจะทำให้พลังต่อต้านระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตยลดลงอย่างฮวบฮาบ
กรณีเงิน 76,000 ล้านจึงชี้ว่ากระบวนคิดของอำมาตย์ไทยผิดพลาดอย่างฉกรรจ์ใน 2 ข้อคือ
1. เชื่อว่าพลังประชาธิปไตยบริสุทธิ์ออกมาเพื่อคุณทักษิณฯ คนเดียว คิดว่าคนค่อนประเทศยอมต่อสู้มาจนบัดนี้ และเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างเพียงเพราะเป็นแฟนคลับคุณทักษิณฯ เพียงโจมตีเจตนาของคุณทักษิณฯ ให้เปรี้ยงปร้างครึกโครม ขบวนการประชาธิปไตยก็จะถอยร่นจนตกรางไปได้
2. เชื่อว่าคุณทักษิณฯ และครอบครัวจะยอมตามอำมาตย์ในทุกเรื่อง หากอำมาตย์เอา 76,000 ล้านมาเป็นเหยื่อล่อ โดยไม่คิดว่าคุณทักษิณฯ และครอบครัวโดนกระหน่ำซ้ำเติมมาอย่างสาหัสจนรู้ซึ้งแล้วว่าหากไม่ต่อสู้ให้ ถึงที่สุดโดยยึดบ้านเมือง และประชาชนเป็นหลักแล้ว อย่าว่าแต่เงิน 76,000 ล้านนี้เลย แม้แต่ชีวิตเขาก็ไม่ปล่อยให้เหลือ
ขณะนี้ขบวนการต่อต้านระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตยมาไกลมากแล้ว ตัวนายกรัฐมนตรี ดร.ทักษิณ ชินวัตร อาจเป็นแม่ทัพสำคัญอันดับหนึ่ง แต่ตัวขบวนการก็เริ่มมีชีวิตของตัวเองขึ้นมาเรื่อยๆ ทุกวัน จนถึงขั้นสร้างตัวตายตัวแทนเอาไว้ได้ ทั้งนี้ต้องขอบคุณฝ่ายอำมาตย์ที่เลวร้ายอย่างเข้มข้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ขบวนการประชาธิปไตยกลายเป็นทางเลือกโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่เขาไม่ได้เกิดมาเป็นทาสใคร
ระบอบประชาชนหยิบประเด็นสุรยุทธ์ และเขายายเที่ยงมาเป็นขุนหมู่ทะลวงฟัน เป้าหมายใหญ่คือขุดรากถอนโคนระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตยไทย ระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตยพยายามทำลายเกียรติยศของฝ่ายประชาธิปไตยโดยเอาไปผูกกับเงิน 76,000 ล้านบาท และลดขนาดของคุณทักษิณฯสงครามคราวนี้จึงออกจะมีสีสัน และสำคัญอย่างมากต่ออนาคตของคนไทยทุกคน
วันนี้เราชาวประชาธิปไตยร่วมต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง ไม่ใช่อะไรเล็กน้อยเลยและวันนี้ก็ไม่ใช่วันที่ 20 กันยายน 2549 ที่ต่อจากการรัฐประหารเพียงวันเดียว แต่เป็นวันที่ 25 มิถุนายน 2475 รุ่งขึ้นจากวันอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองครับ
งานของเรายังมีอีกมากนัก...
------------------------------
คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร”
หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 33
โดย จักรภพ เพ็ญแข
Posted by : ทีมข่าวภูเก็ตอีนิวส์
1. คนที่ยังไม่รู้
2. คนที่รู้แล้วแต่ไม่เลือกข้าง
3. คนที่รอตามแห่ (ชนะไหนเอาด้วย)
ผมไม่จัดคนประเภทที่พูดเสมอว่า ไม่สนใจ หรือไม่ชอบการเมืองไว้เป็นอีกกลุ่มหนึ่ง เพราะหากท่านเหล่านี้รู้ถึงเดิมพันชีวิตของตัวเอง ครอบครัว และลูกหลานของเขาที่แขวนอยู่กับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเมืองไทยในขณะนี้แล้ว เขาจะต้องบังคับตัวเองให้สนใจ และใส่ใจ ผู้ที่มักกล่าวอ้างเช่นนี้จึงถือว่าอยู่รวมกับกลุ่มที่ 1 คือคนที่ยังไม่รู้
สิ่งหนึ่งที่ชี้ว่าทั้งสองระบอบได้เข้าสู่ระยะเผชิญหน้ากันแล้วคือ ประเด็นของฝ่ายประชาธิปไตย ว่าด้วยที่ดินบนเขายายเที่ยงของ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรีของคณะรัฐประหาร และประเด็นเงินอายัด 76,000 ล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีผู้ถูกรัฐประหาร ซึ่งเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้นเอง
มองประเด็นที่ดินบนเขายายเที่ยงให้ลึก เราจะพบอะไรในเชิงระบอบและโครงสร้างสังคมไทยได้มาก คนเป็นจำนวนมากเชื่อว่า พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี เกี่ยวข้องกับการวางแผนโค่นล้มรัฐบาลจากการเลือกตั้งของประชาชนมาตลอด การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนแรก และคนเดียวของ คมช. ช่วยตอกย้ำความเชื่อนี้
ความแค้นเฉพาะตัวคือกรณีเมียนมาร์ ที่สั่งให้ทหารไทยปลอมเป็นไทยใหญ่ แล้วเข้าไปฆ่าทหารเมียนมาร์เสียหลายร้อยคน ขณะเป็นผู้บัญชาการทหารบก จนในที่สุดกลายเป็นเหตุผลหลักที่ถูกแขวนในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด
แต่ความแค้นในระดับระบอบเกิดขึ้นในใจของคนที่สูงกว่าพลเอกสุรยุทธ์ฯ โดยเฉพาะเมื่อนายกรัฐมนตรีทักษิณฯ ในเวลาต่อมาปฏิเสธไม่อนุมัติงบประมาณค่าน้ำมันเชื้อเพลิงรถถังที่นำไปปฏิบัติการ จนต้องจอดเรียงรายข้างถนน พลเอกสุรยุทธ์ฯ และพลเอกเปรมฯ จึงใช้เรื่องนี้เป็นเหตุจูงใจให้คนที่อยู่สูงขึ้นไปร่วมเกลียดชังคุณทักษิณฯ ขึ้นอีก
แต่โดยส่วนตัวแล้วผมเชื่อว่าพลเอกสุรยุทธ์ฯ ชิงชังคุณทักษิณฯ ลึกซึ้งกว่านั้น
คนๆ นี้ภูมิใจว่าตัวเองเป็นนายพลปัญญาชน และเคยเรืองแสงอยู่ในหมู่นักวิชาการใน พระบรมราชูปถัมภ์ แต่เมื่อบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยขึ้น “ปลาใหญ่ในบ่อน้อย” อย่างคุณสุรยุทธ์ฯ ก็ลดสภาพเป็นเพียงสัตว์น้ำตัวเล็กๆ ในบ่อ เมื่อผนวกเรื่องนี้เข้ากับการสั่งลดอำนาจอย่างฉับพลันในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก (ซึ่งถือเป็นความปรานีแล้ว เพราะโทษฐานที่เคลื่อนกำลังโดยไม่ขออนุมัติจากผู้บังคับบัญชาที่เป็นหน่วยเหนือหนักหน่วงกว่านั้นมาก) เรื่องจึงกลายเป็นแค้นที่ต้องชำระขึ้นมา
ส่วนลัทธิคอมมิวนิสต์ที่พลเอกสุรยุทธ์ฯ ดูจะลุ่มหลงเลื่อมใส ขนาดรับเป็นโยมอุปฐากคนสำคัญของเครือข่ายพัฒนาชาติไทยหรืออดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ฯ มาจนถึงปัจจุบัน จนเกิดแนวคิดว่าคุณทักษิณฯ เป็นนายทุนที่ต้องกำจัดให้สิ้นซากหรือไม่นั้น ผมบอกไม่ได้ ได้แต่สังเกตการณ์ประเด็นนี้อย่างเงียบๆ
การชี้เป้าไปที่กรณีที่ดินเขายายเที่ยงมีความหมายมากกว่าตัวคุณสุรยุทธ์ฯ และภรรยา เอาสองคนนี้ไปเข้าคุกได้ก็ไม่เท่ากับการกระชากหน้ากากของระบอบอำมาตย์เมืองไทยจากภาพลักษณ์อย่าง “พระเอก” และ “คนดีศรีสังคม” เพื่อให้คนทั้งชาติรู้ว่าสันดานอำมาตย์ไทยแท้ที่จริงเป็นฉันใด
คำถามต่อสังคมไทยในกรณีคุณสุรยุทธ์ฯ ได้แก่
1. คุณสุรยุทธ์ฯ และภรรยากระทำความผิดอย่างโจ่งแจ้งขนาดนี้ได้อย่างไรโดยไม่มีความผิด
2. เมื่อประชาชนจะเอาเรื่องกับคุณสุรยุทธ์ฯ และภรรยา ระบอบอำมาตย์จะกรีธาทัพเข้ามาช่วย ”พวก” ของตัวอย่างไร ไม่กี่วันมานี้เราเห็นบทบาทของหน่วยหน้าอย่างกองทัพภาคที่ 2 กรมป่าไม้และสำนักงานอัยการสูงสุดมาแล้ว เราจะได้รับรู้ร่วมกันต่อไปว่า “พวกเขา” ประกอบด้วยใครอีกบ้าง
3. จะมีความยุติธรรมไหลลงมาจาก “ยอดดอย” บ้างหรือไม่
ส่วนฝ่ายอำมาตย์ เมื่อตระหนักความจริงที่ว่าขบวนการประชาธิปไตยของสังคมไทยแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน ไม่ใช่มาจากกระแสเงินของคุณทักษิณฯ เพราะไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยกันเสียที และมีหน้าใหม่ๆ เพิ่มขึ้นตลอดเวลา ก็ต้องโหมทำสงครามสื่อรอบสุดท้ายด้วยการหยิบยกประเด็นเงินอายัด 76,000 ล้าน
ขบวนการโฆษณาชวนเชื่อของอำมาตย์พยายามชี้นำสังคมไทยอย่างสุดฤทธิ์ว่า คุณทักษิณฯ และครอบครัวเคลื่อนไหวมาทั้งหมดก็เพื่อให้ได้เงินที่ถูกอายัดนี้คืน ไม่ใช่เพื่อประชาธิปไตยเลย เจตนาของอำมาตย์คือทำให้พลังประชาธิปไตยบริสุทธิ์เกิดลังเลใจว่า ควรสนับสนุนคุณทักษิณฯ ต่อไปหรือควรถอนตัวไปอยู่บ้านเฉยๆ หวังเอาไว้มากทีเดียวว่า ความลังเลใจเช่นนั้นจะทำให้พลังต่อต้านระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตยลดลงอย่างฮวบฮาบ
กรณีเงิน 76,000 ล้านจึงชี้ว่ากระบวนคิดของอำมาตย์ไทยผิดพลาดอย่างฉกรรจ์ใน 2 ข้อคือ
1. เชื่อว่าพลังประชาธิปไตยบริสุทธิ์ออกมาเพื่อคุณทักษิณฯ คนเดียว คิดว่าคนค่อนประเทศยอมต่อสู้มาจนบัดนี้ และเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างเพียงเพราะเป็นแฟนคลับคุณทักษิณฯ เพียงโจมตีเจตนาของคุณทักษิณฯ ให้เปรี้ยงปร้างครึกโครม ขบวนการประชาธิปไตยก็จะถอยร่นจนตกรางไปได้
2. เชื่อว่าคุณทักษิณฯ และครอบครัวจะยอมตามอำมาตย์ในทุกเรื่อง หากอำมาตย์เอา 76,000 ล้านมาเป็นเหยื่อล่อ โดยไม่คิดว่าคุณทักษิณฯ และครอบครัวโดนกระหน่ำซ้ำเติมมาอย่างสาหัสจนรู้ซึ้งแล้วว่าหากไม่ต่อสู้ให้ ถึงที่สุดโดยยึดบ้านเมือง และประชาชนเป็นหลักแล้ว อย่าว่าแต่เงิน 76,000 ล้านนี้เลย แม้แต่ชีวิตเขาก็ไม่ปล่อยให้เหลือ
ขณะนี้ขบวนการต่อต้านระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตยมาไกลมากแล้ว ตัวนายกรัฐมนตรี ดร.ทักษิณ ชินวัตร อาจเป็นแม่ทัพสำคัญอันดับหนึ่ง แต่ตัวขบวนการก็เริ่มมีชีวิตของตัวเองขึ้นมาเรื่อยๆ ทุกวัน จนถึงขั้นสร้างตัวตายตัวแทนเอาไว้ได้ ทั้งนี้ต้องขอบคุณฝ่ายอำมาตย์ที่เลวร้ายอย่างเข้มข้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ขบวนการประชาธิปไตยกลายเป็นทางเลือกโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่เขาไม่ได้เกิดมาเป็นทาสใคร
ระบอบประชาชนหยิบประเด็นสุรยุทธ์ และเขายายเที่ยงมาเป็นขุนหมู่ทะลวงฟัน เป้าหมายใหญ่คือขุดรากถอนโคนระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตยไทย ระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตยพยายามทำลายเกียรติยศของฝ่ายประชาธิปไตยโดยเอาไปผูกกับเงิน 76,000 ล้านบาท และลดขนาดของคุณทักษิณฯสงครามคราวนี้จึงออกจะมีสีสัน และสำคัญอย่างมากต่ออนาคตของคนไทยทุกคน
วันนี้เราชาวประชาธิปไตยร่วมต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง ไม่ใช่อะไรเล็กน้อยเลยและวันนี้ก็ไม่ใช่วันที่ 20 กันยายน 2549 ที่ต่อจากการรัฐประหารเพียงวันเดียว แต่เป็นวันที่ 25 มิถุนายน 2475 รุ่งขึ้นจากวันอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองครับ
งานของเรายังมีอีกมากนัก...
------------------------------
คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร”
หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 33
โดย จักรภพ เพ็ญแข
Posted by : ทีมข่าวภูเก็ตอีนิวส์
คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร”
ตอบลบหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 33
โดย จักรภพ เพ็ญแข
ตกลงเว็บบล๊อกนี้สีอะไร กันแน่จ๊ะ