นายชูเกียรติ ปัญญาไวย์ รองประธานกลุ่มสหกรณ์บริการรถยนต์บริการธุรกิจ จำกัด (ลีมูซีน) กล่าวว่า ตามที่มติการประชุมเพื่อแก้ไขปัญหาการประกอบการรถรับจ้างภายในสนามบินภูเก็ต ครั้งที่ 1/2549 เมื่อวันที่ 26 ก.ค.2549 ได้ทำ MOU ว่า การเพิ่มจำนวนรถยนต์ประเภทใดนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ให้นาเข้าที่ประชุมคณะกรรมการฯของจังหวัดก่อนและการเพิ่มให้เพิ่มจำนวนตามสัดส่วนที่คณะกรรมการกำหนดเท่านั้น
แต่ว่าการเพิ่มจำนวนรถยนต์บริการตามมติคณะกรรมการดังกล่าวข้างต้นเป็นการกระทำลัดขั้นตอนการทำ MOU เป็นการเสนอมาจากส่วนกลางลงมาสู่ท้องถิ่น เป็นการกระทำแบบมัดมือชก ซึ่งทางสหกรฯรับไม่ได้ เพราะสถานการณ์ปัจจุบันจำนวนรถยนต์ที่ให้บริการในสนามบินมีจำนวนเพียงพอต่อการให้บริการนักท่องเที่ยวอยู่แล้ว หากมีการเพิ่มจำนวนรถจะทำให้เจ้าของรถมีภาระในการแข่งขันกันเองเพิ่มมากขึ้น แต่จำนวนนักท่องเที่ยวที่ใช้บริการไม่ได้เพิ่มขึ้น ซึ่งขณะนี้ทางสหกรณ์มีรถให้บริการเพียง 150 คัน แต่รับภาระ จ่ายค่าสัมปทานให้แก่การท่าอากาศยานภูเก็ต เดือนละ 1,200,000 บาท ทำให้เกิดภาวะขาดทุนมาอย่างต่อเนื่องเมื่อปีที่ผ่านมาขาดทุนรวมประมาณ 4 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้หากได้ออกบริการนักท่องเที่ยวได้เงินมาต่อเที่ยวเท่าไรก็ต้องแบ่งให้สหรณ์ 20 เปอร์เซ็นต์ เพื่อจ่ายค่าสัมปทานให้การท่าอากาศยานภูเก็ต หากเพิ่มรถขึ้นอีกก็จะสร้างความเดือดร้อนให้แก่สมาชิกทุกคนแน่นอน
นายชูเกียรติ กล่าวอีกว่า นอกจากค่าสัมปทานของสหกรณ์ที่ต้องจ่ายให้ท่าอากาศยานภูเก็ตปีละเกือบ 15 ล้านบาท แล้วบริษัท ภูเก็ตไม้ขาวสาคู จำกัด มีรถบริการจำนวน 80 คัน จ่ายค่าสัมปทานในการเดินรถให้แก่การท่าอากาศยานภูเก็ต เดือนละ 830,000 บาทต่อเดือน และค่าสัมปทานจะเพิ่มขึ้น 10% ปี และแท็กซี่มิเตอร์จ่ายค่าสัมปานรายเที่ยวเที่ยวละ 100 ต่อคันต่อเที่ยว ซึ่งตนเองมองว่าเงินค่าสัมปทานมันสูงเกินจริงทั้งที่การพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ตก็ไม่มีการพัฒนาอะไรมารองรับ และหากการท่าอากาศยานยอมลดค่าสัมปทานลงมา ก็จะทำให้ทุกคนมีรายได้เพิ่มขึ้น และไม่มีปัญหาเรื่องการแข่งขันเพื่อเอาเงินไปจ่ายค่าสัมปทานเหมือนที่เป็นอยู่ทุกวัน และจะค้านจนถึงที่สุดเพื่อไม่ให้มีการเพิ่มรถจำนวนดังกล่าว
ทางด้าน นายวิชัย ไพรสงบ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า ขณะนี้ได้รับหนังสือคัดการการขอเพิ่มรถของกลุ่มสหกรณ์แล้ว และทราบว่าเมื่อวานนี้คณะกรรมการกลั่นกรองได้เห็นขอบตามมติคณะกรรมการพิจารณารายได้ของ บ.ท่าอากาศยานไทย แล้ว ซึ่งตนจะขอเวลาอีก 7 วัน ว่าจะลงความเห็นว่าอนุมัติหรือไม่ ซึ่งจะต้องศึกษาปัญหาทุกด้านอย่างรอบคอบ เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาที่จะเกิดขึ้น ซึ่งความจริงแล้วหากมติการขอเพิ่มรถนั้นเป็นไปตามขั้นตอนที่ได้วางไว้ก่อนหน้านี้ ก็ไม่น่าจะมีปัญหา แต่นี่มีการอนุมมัติมาจากส่วนกลางลงสู่ท้องถิ่น ทำให้กลุ่มผู้ประกอบการมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง แต่จะศึกษาถึงสาเหตุของทั้งผู้ขอเพิ่มและผู้คัดค้านอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง เพื่อความเป็นธรรมของทั้ง 2 ฝ่าย ...
ข่าวโดย : บังเสริฐ
Posted by : ทีมข่าวภูเก็ตอีนิวส์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น