เขียนโดย : จาตุรนต์ ฉายแสง
วันจันทร์ที่ 18 มกราคม 2010 เวลา 09:36 น.
วันจันทร์ที่ 18 มกราคม 2010 เวลา 09:36 น.
ที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ตัดสินใจยังไม่คืนที่ดินที่เขายายเที่ยงจนกว่ากรมป่าไม้จะพิจารณาเสร็จ เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างมาก ทั้งยังเข้าข่ายเป็นการกระทำผิดกฎหมายโดยเจตนาอย่างชัดแจ้งยิ่งกว่าเดิมอีกด้วย
“ขอเรียนว่าจากการที่โฆษกสำนักอัยการสูงสุดได้ชี้แจง และได้รับทราบว่า คณะกรรมการกรมป่าไม้จะดำเนินการพิจารณาตามระยะเวลาที่กำหนด ตอบได้เพียงว่า ผมพร้อมจะปฏิบัติตามกฎหมาย เมื่อกรมป่าไม้พิจารณาว่ามีคำชี้ขาดเป็นอย่างไร พร้อมปฏิบัติตามนั้น” พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี (1)
ถ้าใครศึกษาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องบ้างแล้วก็จะเข้าใจได้ไม่ยากว่า ที่อัยการวินิจฉัยว่าการครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนของพล.อ.สุรยุทธ์เป็นการกระทำผิดโดยไม่เจตนานั้นฟังไม่ขึ้น เนื่องจากพล.อ.สุรยุทธ์ย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าตนเองเข้าครอบครองที่ดินแปลงนี้โดยประสงค์ต่อผลอย่างชัดเจน ส่วนถ้าจะอ้างว่าไม่รู้ว่าผิดกฎหมายก็ไม่อาจอ้างได้ เพราะแม้แต่ตาสีตาสาก็ยังอ้างว่าไม่รู้กฎหมายไม่ได้ นับประสาอะไรกับอดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ซึ่งมีหน้าที่แก้ปัญหาการบุกรุกป่าสงวนโดยตรงจะอ้างเช่นนั้นได้
เมื่ออัยการวินิจฉัยว่า “ไม่เจตนา” (2) ซึ่งฟังไม่ขึ้นนั้น หากพิจาณาตามคำวินิจฉัยของอัยการก็อาจตั้งคำถามว่าไม่เจตนาทำอะไร ที่อัยการไม่ได้พูดให้ชัดเจนคงเป็นเพราะจะได้ฟังดูดีหน่อย แต่คำตอบก็คือไม่เจตนาทำผิดกฎหมาย หรือทำผิดกฎหมายโดยไม่เจตนานั่นเอง (3) ถ้าถามว่าเหตุใดจึงเห็นว่าไม่เจตนา อัยการก็คงตอบว่า เพราะขณะที่ซื้อนั้นพล.อ.สุรยทธ์ คงไม่รู้ว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายซึ่ง ก็ฟังไม่ขึ้นดังกล่าวแล้ว
คำถามง่ายๆ จึงมีต่อไปว่า แล้ววันนี้ พล.อ.สุรยุทธ์ รู้แล้วหรือยังว่าการกระทำของตนเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย คำตอบก็คือย่อมต้องรู้แน่แล้ว หรือควรจะต้องเรียกว่ายิ่งรู้มากขึ้นกว่าเดิมแล้วว่าผิดกฎหมาย ถามต่อไปอีกว่าเมื่อรู้แล้วว่าครอบครองที่ดินอยู่โดยผิดกฎหมายแต่กลับไม่ยอม คืนที่ดินนั้นให้แก่ทางราชการ ยังจะถือว่าเป็นการกระทำผิดโดยไม่เจตนาอยู่อีกหรือไม่ คำตอบย่อมเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากต้องถือว่าเป็นการกระทำผิดโดยเจตนา อย่างสมบูรณ์ จะอ้างว่าไม่รู้อีกไม่ได้แล้ว
“ที่ผ่านมา พล.อ.สุรยุทธ์ ทราบตั้งแต่ตอนซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวมาแล้วว่า อย่างไรก็ไม่มีสิทธิเป็นเจ้าของ แต่ที่ซื้อมานั้น ก็เพื่อต้องการใช้สิทธิในการทำประโยชน์ในพื้นที่ หากทางราชการมีความต้องการที่ดินแปลงนี้คืน พล.อ. สุรยุทธ์ ก็พร้อมที่จะคืนให้ทันที เพราะ พล.อ. สุรยุทธ์ มีความเคารพในกติกาของบ้านเมืองอยู่แล้ว” พล.อ.นินนาท เบี้ยวไข่มุข นายทหารคนสนิท พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ให้สัมภาษณ์ไทยรัฐออนไลน์ (4)
การที่กรมป่าไม้จะต้องใช้เวลาอีก 60 วัน (5) (6) (7) จึงกลายเป็นเรื่องไร้เหตุผล กลายเป็นไม่มีใครรักษากฎหมายทั้งๆที่มีการกระทำผิดกฎหมายให้เห็นอยู่ทนโท่ การปล่อยให้เรื่องคาราคาซังอยู่อย่างพิลึกพิลั่นนี้ รังแต่จะทำให้เกิดความเสียหายทั้งต่อการรักษากฎหมายบ้านเมือง ตอกย้ำความไม่ยุติธรรมหรือความเป็นสองมาตรฐานอย่างชัดเจน และยังทำให้เสื่อม เสียต่อชื่อเสียงเกียรติภูมิของ พล.อ.สุรยุทธ์เองที่นอกจากไม่ยอมรับผิดแล้ว ยังเย้ยกฎหมายอีกด้วย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนถึงขณะนี้เปรียบเหมือนมีคนขโมยของๆ ทางราชการไป สมมุติว่าเป็นรถของกรมป่าไม้ก็แล้วกัน ปรากฏว่ามีคนรับซื้อรถคันนั้นไว้ทั้งที่ก็รู้อยู่ว่าเป็นรถของกรมป่าไม้ ต่อมามีคนไปแจ้งความตำรวจๆ สืบสวนแล้วก็ส่งเรื่องให้อัยการๆ พิจารณาแล้วเห็นว่าผิดฐานรับซื้อของโจร แต่เห็นว่าไม่เจตนาจึงสั่งไม่ฟ้อง แต่เมื่ออัยการสั่งไม่ฟ้องแล้ว ผู้รับซื้อของโจรรายนี้ก็ยังใช้รถคันนั้นต่อไปได้ ถ้าปล่อยให้ทำกันอย่างนี้ได้ ต่อไปก็คงยุ่งกันใหญ่
นอกจากเรื่องนี้ไม่ยุติลงอย่างถูกต้องตามครรลองครองธรรมแล้ว ยังมีแนวโน้มที่จะบานปลายเสียหายมากยิ่งขึ้นไปอีก สืบเนื่องจากการอธิบายแก้ต่างโดยเพื่อนสนิทของ พล.อ.สุรยุทธ์เองที่บอกว่า ถ้าต้องเอาที่ดินคืนจาก พล.อ.สุรยุทธ์ก็ต้องเอาที่ดินคืนจากประชาชนอีกหลายหมื่นครอบครัวด้วย (8) ผู้ที่ช่วยอธิบายนี้คงคิดอย่างนั้นจริงๆ แต่คงลืมไปว่ากำลังอธิบายแทนอดีตนายกรัฐมนตรี และองคมนตรีซึ่งสังคมไทยมักได้รับการบอกเล่าว่าเป็นคนดี มีคุณธรรมที่ไม่พึงอ้างการกระทำผิดกฎหมายของคนธรรมดาสามัญทั้งหลายมาเป็น ความชอบธรรมที่ตนจะทำผิดกฎหมายเช่นเดียวกัน ซ้ำยังไม่ต้องรับโทษใดๆและหากตนต้องรับโทษก็ต้องลงโทษคนที่ทำผิดกฎหมายทั้งหลายให้เท่าเทียมกันด้วย
ความคิดแบบอภิสิทธิ์ชนเช่นนี้ มีผลลุกลามต่อเนื่องไปยังผู้เกี่ยวข้องอย่างน้อยอีก 2 กลุ่มด้วยกัน กลุ่มแรก ได้แก่ ผู้ใหญ่บางคนในกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่สั่งการให้หาทางเอาที่ดินคืนจากชาวบ้านหลายหมื่นครอบครัวที่บุกรุกที่ป่าสงวน กับอีกกลุ่มคือ สื่อมวลชนบางรายที่ประกาศรณรงค์ให้เอาที่ดินที่ถูกบุกรุกคืนมา การเคลื่อนไหวของคน 2 กลุ่มนี้ ถ้าเป็นภาวะปกติก็พอเข้าใจได้ แต่เมื่อมาเกิดขึ้นเป็นเรื่องสืบเนื่องโดยตรงกับกรณีเขายายเที่ยงก็ทำให้คนรู้สึกได้ว่า เป็นการแก้แค้นแทนบุคลที่คนเหล่านี้ศรัทธายกย่องอยู่ ทำนองว่าบังอาจมาเอาที่ดินของท่านคืนกันได้อย่างไร ต้องสั่งสอนเสียบ้าง หากการกระทำดังกล่าวเกิดขึ้นจริงก็คงโกลาหลกันพอสมควร ที่สำคัญก็จะไม่แก้ปัญหาอะไร แต่กลับจะมีปัญหาตามมาอีกมาก ที่กล่าวอย่างนี้ไม่ใช่จะขัดขวางการแก้ปัญหาการบุกรุกป่าสงวน แต่เห็นว่าหากจะแก้จริงก็ต้องดูปัญหาในภาพรวมและแก้อย่างเป็นธรรมเพื่อรักษา ป่าให้ได้จริงพร้อมทั้งคำนึงถึงความสงบสุขด้วย
กรณีที่ดินเขายายเที่ยงนี้เป็นตัวอย่างของความเป็น “สองมาตรฐาน” ของระบบยุติธรรมของประเทศไทยอีกเรื่องหนึ่ง แม้ว่าผู้ที่ทำผิดกฎหมายอาจยังไม่ถูกลงโทษโดยกระบวนการยุติธรรม แต่สังคมก็ได้พิพากษาลงโทษไปเรียบร้อยแล้ว หากมีการร้องเรียนให้พิจารณาความผิดและลงโทษผู้ที่รับผิดชอบคดีนี้ต่อไป แม้ว่าอาจจะไม่ได้ผลเนื่องจากคงหวังอะไรได้ไม่มากนักจากระบบปัจจุบัน แต่การเรียกร้องต่างๆที่จะมีขึ้นก็น่าจะเป็นประโยชน์อย่างน้อยก็ทำให้เห็น ว่าระบบปัจจุบันพิกลพิการอย่างไรและสังคมไทยควรทำอย่างไรกับระบบที่ไม่ ยุติธรรมนี้กันต่อไป
อ้างอิง
1. “เขายายเที่ยงยืด บิ๊กแอ้ดดื้อ เมินแสดงสปิริต” ไทยรัฐออนไลน์ http://www.thairath.co.th/content/pol/58344
2. “อัยการไม่สั่งฟ้อง ขาดเจตนา รุกเขายายเที่ยง” ไทยรัฐออนไลน์ http://www.thairath.co.th/content/pol/57582
3. "สุรยุทธ์" ไม่มีความผิดบุกรุกที่ป่าสงวนเขายายเที่ยง แต่โฆษกอัยการแจงไม่มีสิทธิ์ครอบครอง ชี้การเอาที่ดินคืนเป็นหน้าที่ป่าไม้ http://www.suthichaiyoon.com/WS01_A001_news.php?newsid=18683
4. ซื้อทำประโยชน์ เขายายเที่ยง รู้ไม่มีสิทธิครอง http://www.thairath.co.th/content/pol/58063
5. “กรมป่าไม้ซื้อเวลา สอบ 60 วัน รุกเขายายเที่ยง” http://www.thairath.co.th/content/edu/58138
6. “ป่าไม้รอสำนวนอัยการ มั่นใจ 7 วันชี้ขาดเขายายเที่ยง” http://www.thairath.co.th/content/edu/58379
7. “ป่าไม้นัดเร่งถก สางปม'ยายเที่ยง' พฤหัสฯ14 ม.ค.” http://www.thairath.co.th/content/edu/58618
8. 'เพื่อนซี้แอ้ด'ออกโรงขู่ เอาที่คืนต้อง'ทำทุกคน' ไม่ใช่แค่'เขายายเที่ยง' แต่ต้องทำ'ทั้งประเทศ' http://thaiinsider.info/2009news/the-news/politics/5488-2010-01-09-03-11-31
Posted by : ทีมข่าวภูเก็ตอีนิวส์
“ขอเรียนว่าจากการที่โฆษกสำนักอัยการสูงสุดได้ชี้แจง และได้รับทราบว่า คณะกรรมการกรมป่าไม้จะดำเนินการพิจารณาตามระยะเวลาที่กำหนด ตอบได้เพียงว่า ผมพร้อมจะปฏิบัติตามกฎหมาย เมื่อกรมป่าไม้พิจารณาว่ามีคำชี้ขาดเป็นอย่างไร พร้อมปฏิบัติตามนั้น” พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี (1)
ถ้าใครศึกษาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องบ้างแล้วก็จะเข้าใจได้ไม่ยากว่า ที่อัยการวินิจฉัยว่าการครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนของพล.อ.สุรยุทธ์เป็นการกระทำผิดโดยไม่เจตนานั้นฟังไม่ขึ้น เนื่องจากพล.อ.สุรยุทธ์ย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าตนเองเข้าครอบครองที่ดินแปลงนี้โดยประสงค์ต่อผลอย่างชัดเจน ส่วนถ้าจะอ้างว่าไม่รู้ว่าผิดกฎหมายก็ไม่อาจอ้างได้ เพราะแม้แต่ตาสีตาสาก็ยังอ้างว่าไม่รู้กฎหมายไม่ได้ นับประสาอะไรกับอดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ซึ่งมีหน้าที่แก้ปัญหาการบุกรุกป่าสงวนโดยตรงจะอ้างเช่นนั้นได้
เมื่ออัยการวินิจฉัยว่า “ไม่เจตนา” (2) ซึ่งฟังไม่ขึ้นนั้น หากพิจาณาตามคำวินิจฉัยของอัยการก็อาจตั้งคำถามว่าไม่เจตนาทำอะไร ที่อัยการไม่ได้พูดให้ชัดเจนคงเป็นเพราะจะได้ฟังดูดีหน่อย แต่คำตอบก็คือไม่เจตนาทำผิดกฎหมาย หรือทำผิดกฎหมายโดยไม่เจตนานั่นเอง (3) ถ้าถามว่าเหตุใดจึงเห็นว่าไม่เจตนา อัยการก็คงตอบว่า เพราะขณะที่ซื้อนั้นพล.อ.สุรยทธ์ คงไม่รู้ว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายซึ่ง ก็ฟังไม่ขึ้นดังกล่าวแล้ว
คำถามง่ายๆ จึงมีต่อไปว่า แล้ววันนี้ พล.อ.สุรยุทธ์ รู้แล้วหรือยังว่าการกระทำของตนเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย คำตอบก็คือย่อมต้องรู้แน่แล้ว หรือควรจะต้องเรียกว่ายิ่งรู้มากขึ้นกว่าเดิมแล้วว่าผิดกฎหมาย ถามต่อไปอีกว่าเมื่อรู้แล้วว่าครอบครองที่ดินอยู่โดยผิดกฎหมายแต่กลับไม่ยอม คืนที่ดินนั้นให้แก่ทางราชการ ยังจะถือว่าเป็นการกระทำผิดโดยไม่เจตนาอยู่อีกหรือไม่ คำตอบย่อมเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากต้องถือว่าเป็นการกระทำผิดโดยเจตนา อย่างสมบูรณ์ จะอ้างว่าไม่รู้อีกไม่ได้แล้ว
“ที่ผ่านมา พล.อ.สุรยุทธ์ ทราบตั้งแต่ตอนซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวมาแล้วว่า อย่างไรก็ไม่มีสิทธิเป็นเจ้าของ แต่ที่ซื้อมานั้น ก็เพื่อต้องการใช้สิทธิในการทำประโยชน์ในพื้นที่ หากทางราชการมีความต้องการที่ดินแปลงนี้คืน พล.อ. สุรยุทธ์ ก็พร้อมที่จะคืนให้ทันที เพราะ พล.อ. สุรยุทธ์ มีความเคารพในกติกาของบ้านเมืองอยู่แล้ว” พล.อ.นินนาท เบี้ยวไข่มุข นายทหารคนสนิท พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ให้สัมภาษณ์ไทยรัฐออนไลน์ (4)
การที่กรมป่าไม้จะต้องใช้เวลาอีก 60 วัน (5) (6) (7) จึงกลายเป็นเรื่องไร้เหตุผล กลายเป็นไม่มีใครรักษากฎหมายทั้งๆที่มีการกระทำผิดกฎหมายให้เห็นอยู่ทนโท่ การปล่อยให้เรื่องคาราคาซังอยู่อย่างพิลึกพิลั่นนี้ รังแต่จะทำให้เกิดความเสียหายทั้งต่อการรักษากฎหมายบ้านเมือง ตอกย้ำความไม่ยุติธรรมหรือความเป็นสองมาตรฐานอย่างชัดเจน และยังทำให้เสื่อม เสียต่อชื่อเสียงเกียรติภูมิของ พล.อ.สุรยุทธ์เองที่นอกจากไม่ยอมรับผิดแล้ว ยังเย้ยกฎหมายอีกด้วย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนถึงขณะนี้เปรียบเหมือนมีคนขโมยของๆ ทางราชการไป สมมุติว่าเป็นรถของกรมป่าไม้ก็แล้วกัน ปรากฏว่ามีคนรับซื้อรถคันนั้นไว้ทั้งที่ก็รู้อยู่ว่าเป็นรถของกรมป่าไม้ ต่อมามีคนไปแจ้งความตำรวจๆ สืบสวนแล้วก็ส่งเรื่องให้อัยการๆ พิจารณาแล้วเห็นว่าผิดฐานรับซื้อของโจร แต่เห็นว่าไม่เจตนาจึงสั่งไม่ฟ้อง แต่เมื่ออัยการสั่งไม่ฟ้องแล้ว ผู้รับซื้อของโจรรายนี้ก็ยังใช้รถคันนั้นต่อไปได้ ถ้าปล่อยให้ทำกันอย่างนี้ได้ ต่อไปก็คงยุ่งกันใหญ่
นอกจากเรื่องนี้ไม่ยุติลงอย่างถูกต้องตามครรลองครองธรรมแล้ว ยังมีแนวโน้มที่จะบานปลายเสียหายมากยิ่งขึ้นไปอีก สืบเนื่องจากการอธิบายแก้ต่างโดยเพื่อนสนิทของ พล.อ.สุรยุทธ์เองที่บอกว่า ถ้าต้องเอาที่ดินคืนจาก พล.อ.สุรยุทธ์ก็ต้องเอาที่ดินคืนจากประชาชนอีกหลายหมื่นครอบครัวด้วย (8) ผู้ที่ช่วยอธิบายนี้คงคิดอย่างนั้นจริงๆ แต่คงลืมไปว่ากำลังอธิบายแทนอดีตนายกรัฐมนตรี และองคมนตรีซึ่งสังคมไทยมักได้รับการบอกเล่าว่าเป็นคนดี มีคุณธรรมที่ไม่พึงอ้างการกระทำผิดกฎหมายของคนธรรมดาสามัญทั้งหลายมาเป็น ความชอบธรรมที่ตนจะทำผิดกฎหมายเช่นเดียวกัน ซ้ำยังไม่ต้องรับโทษใดๆและหากตนต้องรับโทษก็ต้องลงโทษคนที่ทำผิดกฎหมายทั้งหลายให้เท่าเทียมกันด้วย
ความคิดแบบอภิสิทธิ์ชนเช่นนี้ มีผลลุกลามต่อเนื่องไปยังผู้เกี่ยวข้องอย่างน้อยอีก 2 กลุ่มด้วยกัน กลุ่มแรก ได้แก่ ผู้ใหญ่บางคนในกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่สั่งการให้หาทางเอาที่ดินคืนจากชาวบ้านหลายหมื่นครอบครัวที่บุกรุกที่ป่าสงวน กับอีกกลุ่มคือ สื่อมวลชนบางรายที่ประกาศรณรงค์ให้เอาที่ดินที่ถูกบุกรุกคืนมา การเคลื่อนไหวของคน 2 กลุ่มนี้ ถ้าเป็นภาวะปกติก็พอเข้าใจได้ แต่เมื่อมาเกิดขึ้นเป็นเรื่องสืบเนื่องโดยตรงกับกรณีเขายายเที่ยงก็ทำให้คนรู้สึกได้ว่า เป็นการแก้แค้นแทนบุคลที่คนเหล่านี้ศรัทธายกย่องอยู่ ทำนองว่าบังอาจมาเอาที่ดินของท่านคืนกันได้อย่างไร ต้องสั่งสอนเสียบ้าง หากการกระทำดังกล่าวเกิดขึ้นจริงก็คงโกลาหลกันพอสมควร ที่สำคัญก็จะไม่แก้ปัญหาอะไร แต่กลับจะมีปัญหาตามมาอีกมาก ที่กล่าวอย่างนี้ไม่ใช่จะขัดขวางการแก้ปัญหาการบุกรุกป่าสงวน แต่เห็นว่าหากจะแก้จริงก็ต้องดูปัญหาในภาพรวมและแก้อย่างเป็นธรรมเพื่อรักษา ป่าให้ได้จริงพร้อมทั้งคำนึงถึงความสงบสุขด้วย
กรณีที่ดินเขายายเที่ยงนี้เป็นตัวอย่างของความเป็น “สองมาตรฐาน” ของระบบยุติธรรมของประเทศไทยอีกเรื่องหนึ่ง แม้ว่าผู้ที่ทำผิดกฎหมายอาจยังไม่ถูกลงโทษโดยกระบวนการยุติธรรม แต่สังคมก็ได้พิพากษาลงโทษไปเรียบร้อยแล้ว หากมีการร้องเรียนให้พิจารณาความผิดและลงโทษผู้ที่รับผิดชอบคดีนี้ต่อไป แม้ว่าอาจจะไม่ได้ผลเนื่องจากคงหวังอะไรได้ไม่มากนักจากระบบปัจจุบัน แต่การเรียกร้องต่างๆที่จะมีขึ้นก็น่าจะเป็นประโยชน์อย่างน้อยก็ทำให้เห็น ว่าระบบปัจจุบันพิกลพิการอย่างไรและสังคมไทยควรทำอย่างไรกับระบบที่ไม่ ยุติธรรมนี้กันต่อไป
อ้างอิง
1. “เขายายเที่ยงยืด บิ๊กแอ้ดดื้อ เมินแสดงสปิริต” ไทยรัฐออนไลน์ http://www.thairath.co.th/content/pol/58344
2. “อัยการไม่สั่งฟ้อง ขาดเจตนา รุกเขายายเที่ยง” ไทยรัฐออนไลน์ http://www.thairath.co.th/content/pol/57582
3. "สุรยุทธ์" ไม่มีความผิดบุกรุกที่ป่าสงวนเขายายเที่ยง แต่โฆษกอัยการแจงไม่มีสิทธิ์ครอบครอง ชี้การเอาที่ดินคืนเป็นหน้าที่ป่าไม้ http://www.suthichaiyoon.com/WS01_A001_news.php?newsid=18683
4. ซื้อทำประโยชน์ เขายายเที่ยง รู้ไม่มีสิทธิครอง http://www.thairath.co.th/content/pol/58063
5. “กรมป่าไม้ซื้อเวลา สอบ 60 วัน รุกเขายายเที่ยง” http://www.thairath.co.th/content/edu/58138
6. “ป่าไม้รอสำนวนอัยการ มั่นใจ 7 วันชี้ขาดเขายายเที่ยง” http://www.thairath.co.th/content/edu/58379
7. “ป่าไม้นัดเร่งถก สางปม'ยายเที่ยง' พฤหัสฯ14 ม.ค.” http://www.thairath.co.th/content/edu/58618
8. 'เพื่อนซี้แอ้ด'ออกโรงขู่ เอาที่คืนต้อง'ทำทุกคน' ไม่ใช่แค่'เขายายเที่ยง' แต่ต้องทำ'ทั้งประเทศ' http://thaiinsider.info/2009news/the-news/politics/5488-2010-01-09-03-11-31
Posted by : ทีมข่าวภูเก็ตอีนิวส์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น