เมื่อบ่ายนี้ (1 ธ.ค.) ที่ห้องภูเก็ต บอลรูม 1 โรงแรมรอยัลภูเก็ตซิตี้ อำเภอเมืองภูเก็ต นายเกียรติ วิมลโสภา ผู้จัดการภาค ธุรกิจภูมิภาค 3 ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เป็นประธานเปิดการสัมมนาใบโพธิ์ บิซิเนซฟอรั่ม หัวข้อเรื่อง "แนวโน้มภาวะเศรษฐกิจและการเงินไทยปี 2553" โดยมี นักธุรกิจในพื้นทีจังหวัดภูเก็ตและจังหวัดใกล้เคียงร่วมรับฟัง ในโอกาสเดียวกันนี้ มีการเสวนาเรื่อง แนวโน้มการท่องเที่ยวไทยและผลกระทบต่อธุรกิจโรงแรมปี 2553 โดย นางสาวเมธินี จงสฤษดิ์หวัง ผู้จัดการวิเคราะห์ธุรกิจและอุตสาหกรรม และ นายวิธาน เจริญผล นักวิเคราะห์อาวุโส ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ เป็นวิทยากร นอกจากนี้ยังมีการบรรยายเรื่อง แนวโน้มการเงิน อัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยน โดย นายณัฐวุฒิ สัจจพุทธวงศ์ นักเศรษฐศาสตร์การเงินอาวุโส กลุ่มบริหารการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) พร้อมกับเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมสัมมนาสอบถามอย่างต่อเนื่องด้วย
นายณัฐวุฒิ สัจจพุทธวงศ์ นักเศรษฐศาสตร์การเงินอาวุโส กลุ่มบริหารการเงินธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน) กล่าวในตอนหนึ่งว่า ปัญหาเกี่ยวกับเศรษฐกิจฟองสบู่หรือดูไบเวิรลด์นั้น ประเทศไทยได้รับผลกระทบน้อย เพราะมีกองทุนการเงิน 2 แห่งและธนาคารอีก 2 แห่งที่ปล่อยกู้ให้ มียอดเงินไม่กี่ร้อยล้านบาทในขณะที่การก่อสร้างโครงการทั้งหมดในประเทศสหรัฐอาหรับอิมิเรสต์นั้น สถาบันการเงินหลักๆที่สนับสนุน ส่วนใหญ่มาจากประเทศสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และสหภาพยุโรป และคาดว่าน่าจะเกิดปัญหาหนี้เสียได้ในอนาคตเพราะประชากร มีไม่กี่แสนคนแต่โครงการต่างๆ สร้างขึ้นเพื่อรองรับชาวต่างประเทศที่มีอำนาจการซื้อสูง เพื่อไปใช้ชีวิตที่ประเทศดังกล่าว นอกจากนี้เห็นว่าปัญหาวิกฤตการณ์เศรษฐกิจการเงิน การคลังโลก มีความเสียหายในประเทศสหรัฐอเมริกา หรือภูมิภาคอื่นๆ แต่ในปัจจุบันประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนกลับมีภูมิคุ้มกันสูง หรือรัฐบาลมีความมั่นคงหรือมีพลังและเสถียรภาพทางการเงินการคลังมากกว่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าเงินหยวนอยู่ในระดับเดียวกับดอลลาร์สหรัฐอเมริกามาต่อเนื่อง 6- 8เดือนแล้วหรือสามารถทนต่อแรงกดดันจากประเทศมหาอำนาจนี้ได้และยังคงมีการขยายตัวของเศรษฐกิจประมาณ 8 เปอร์เซ็นต์ ต่อไปในช่วง 2-3 ปีนี้
นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า สำหรับประเทศไทยนั้น ค่าเงินบาทได้ปรับตัวแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องตลอดทั้งปี 2552 และปัจจัยภายนอกที่สำคัญคือการอ่อนค่าลงของดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ตลอดจนการเกินดุลการชำระเงินสะท้อนให้เห็นถึงปริมาณเงินทุนไหลเข้าประเทศอย่างมากในปีนี้ แม้ว่าในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ สภาพเศรษฐกิจของไทยจะซบเซา แต่ว่ารัฐบาลพยายามอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบทำให้ภาพรวมของเศรษฐกิจไม่เสียหายมากนัก แต่ถือว่าไม่สามารถเปรียบเทียบได้กับช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาได้เช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ ในปี 2553 ดุลบัญชีเดินสะพัด มีแนวโน้มเกินดุลต่อเนื่อง และการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกแบบค่อยเป็นค่อยไป จะไม่ส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นมาก การฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศและการลงทุนจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป และจะไม่ส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของการนำเข้ามากนักคาดการณ์ส่วนใหญ่ในตลาดยังมองว่า เงินบาทมีค่าแข็งต่อ
อย่างไรก็ตาม ค่าเงิน ยังคงผันผวนต่อเนื่อง ส่วนราคาน้ำมันจะเป็นอีกปัจจัยเสี่ยงหนึ่งที่กระทบดุลบัญชีเดินสะพัด ส่วนเงินเฟ้อน่าจะดีดตัวไปที่ 3-4 เปอร์เซ็นต์ ภายในสิ้นปีนี้และไตรมาสแรกของปี 2553 ในขณะที่เงินเฟ้อจะทรงตัวในระดับต่ำ ตลอดทั้งปี สภาพคล่องในระบบธนาคารพาณิชย์ยังคงมีปริมาณมหาศาล ส่วนผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล มีความชันเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และเมื่อย่างเข้าสู่ประมาณไตรมาสที่ 2 ของปี 2553 ยาแรงหรือเม็ดเงินของรัฐบาลที่ทุ่มเทมาในปีที่ผ่านมาเริ่มหมดไป เศรษฐกิจภายในประเทศจะฟื้นตัวได้มากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับการลงทุนของภาคเอกชนเท่านั้น ...
Posted by : ทีมข่าวภูเก็ตอีนิวส์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น