วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เรือประมงชนเรือทุกทรายลูกเรือปลอดภัย

เกิดเหตุเรือประมงสีทองแพชนเรือบรรทุกทรายจอดทอดสมอใกล้เกาะตะเภาน้อย ภูเก็ต โชคดีลูกเรือประมงกว่า20 ชีวิตถูกช่วยไว้ได้ทัน...

เมื่อเวลาประมาณ 08.00 น. วันนี้ (25 ก.ค.) ร.ต.ต.จีระยุทธ์ อ่อนทอง รองสารวัตรตำรวจน้ำภูเก็ต พร้อมเจ้าหน้าที่ได้นำเรือศูนย์ปราบปรามน้ำมันเถื่อนตำรวจน้ำ ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุบริเวณห่างจากเกาะตะเภาน้อย ต.วิชิต อ.เมือง จ.ภูเก็ต ไปทางทิศตะวันออกประมาณ 2 ไมล์ทะเล เนื่องจากเมื่อเวลาประมาณ 23.00 น.ของคืนที่ผ่านมา (24 ก.ค.) ได้รับแจ้งว่ามีเรือประมงอวนลาก ชื่อ สีทองแพ ชนกับท้ายเรือเหล็กบรรทุกทราย ชื่อ กันตังลำเลียง 6 ซึ่งจอดอยู่ ส่งผลให้เรือสีทองแพจมลงทะเลเหลือเพียงหัวเรือที่โผล่พ้นน้ำโดยทางไต๋กงเรือนำเชือกผูกไว้กับเรือในบริเวณใกล้เคียง ส่วนของลูกเรือซึ่งมีอยู่ประมาณ 20 คน มีเรือประมงอีกลำที่แล่นคู่กันมาได้ช่วยไว้ได้ทันและปลอดภัยทั้งหมด

ร.ต.ต.จีระยุทธ์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบและสอบถามผู้อยู่ในเหตุการณ์ ทราบว่า เรือสีทองแพได้ชนเข้าที่บริเวณกราบด้านซ้ายของท้ายเรือกันตังลำเลียง 6 โดยขณะเกิดเหตุเรือกันตังลำเลียงทอดสมอเปิดไฟกระพริบอยู่ที่บริเวณท้ายเรือแต่เป็นไฟดวงเล็กมาก ทำให้เรือประมงอวนลากที่แล่นเข้ามามองไม่เห็น ส่วนของลูกเรือทั้งหมดปลอดภัย ทั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะสอบสวนจากไต้ก๋งเรือทั้งสองลำเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงอีกครั้ง

ทางด้าน ไต้ก๋งเรือสีทองแพ ซึ่งไม่เปิดเผยชื่อ เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า เรือสีทองแพเป็นเรือหาปลามาจากจังหวัดระนอง ขณะที่กำลังแล่นตีคู่มากับเรืออีกลำ และเมื่อผ่านจุดดังกล่าวซึ่งเป็นร่องน้ำเดินเรือ ปรากฏว่ามีเรือเหล็กบรรทุกทรายจอดทอดสมออยู่ แต่ตนมองไม่เห็น เนื่องจากแสงไฟสีแดงที่เรือบรรทุกทรายเปิดเป็นสัญญาเตือนนั้นสังเกตเห็นได้ยาก จึงชนกับท้ายเรือเหล็กลำดังกล่าว ทำให้ส่วนหัวเรือเสียหาย น้ำทะลักเข้าตัวเรือ ตนพร้อมลูกเรือได้พยายามกู้เรือไว้ แต่ไม่สำเร็จเนื่องจากเรือเริ่มจมลงทะเลจึงได้สละเรือไปขึ้นเรืออีกลำที่แล่นมาคู่กัน แต่ยังมีส่วนหัวเรือโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ ตนและลูกเรือได้ใช้เชือกผูกหัวเรือที่โผล่พยุงไว้ไม่ให้จม เพื่อรอการกู้เรือต่อไป ส่วนค่าความเสียหายยังไม่ประเมินได้แต่คาดว่าหลักหลายล้านบาท ทั้งนี้ต้องรอเถ้าแก่เจ้าของเรือมาจัดการต่อไป ...

----------------------------------------------------------
Posted by : ทีมข่าวภูเก็ตอีนิวส์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น