ที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
13 กรกฎาคม 2553
ผู้อ่านหลายๆ คนคงเคยได้รับฟอร์เวิร์ดเมล์ที่มีคุณค่าน่าสนใจและส่งต่อไปยังคนที่รู้จักต่อๆ กันไป ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์และก็ได้รับเมล์ดีดีเช่นกัน หนึ่งในเมล์ดีดีนั้นก็คือ "รางรถไฟกับการตัดสินใจ" ซึ่งอ่านแล้วก็อดที่จะนำมาเผยแพร่ต่อไม่ได้ เพราะเห็นว่าตรงกับสถานการณ์บ้านเมืองของเราในปัจจุบันยิ่งนักและสามารถเป็นบททดสอบจิตสำนึกของเราเป็นอย่างดีว่าแท้จริงแล้วเราเป็นคนที่มีการตัดสินใจเป็นอย่างไร
เรื่องก็มีอยู่ว่ามีเด็กกลุ่มหนึ่งเล่นกันใกล้รางรถไฟ 2 ราง รางหนึ่งอยู่ในระหว่างการใช้งาน ในขณะที่อีกรางหนึ่งไม่ได้ใช้งานแล้ว มีเพียงเด็กคนเดียวเท่านั้นที่เล่นบนรางที่ไม่ได้ใช้งาน ส่วนเด็กที่เหลือนั่งเล่นอยู่บนรางที่ยังใช้งานอยู่
เมื่อรถไฟแล่นมาคุณอยู่ใกล้ๆ ที่สับรางรถไฟ คุณสามารถเปลี่ยนทางรถไฟไปยังรางที่ไม่ได้ใช้งาน
เพื่อช่วยชีวิตเด็กส่วนใหญ่ แต่นั่นหมายถึง การเสียสละชีวิตของเด็กคนที่เล่นอยู่บนรางที่ไม่ได้ใช้งาน
ถ้าคุณเป็นคนสับรางคุณจะตัดสินใจอย่างไร คุณจะสับรางไปยังเด็กคนเดียว หรือคุณเลือกจะปล่อยให้รถไฟวิ่งทางเดิมที่มีเด็กอยู่หลายคน
ลองหยุดคิดสักนิดมีทางเลือกใดที่เราสามารถตัดสินใจได้ คุณต้องตัดสินใจก่อนที่จะอ่านต่อไป
แต่กรณีนี้รถไฟไม่สามารถหยุดรอให้คุณไตร่ตรองได้
คนส่วนมากอาจเลือกที่จะเปลี่ยนทางรถไฟ และยอมสละชีวิตของเด็กคนนั้น
ผมคิดว่าคุณก็อาจจะคิดเช่นเดียวกัน แน่นอน ตอนแรกผมก็คิดเช่นนี้เพราะการช่วยชีวิตเด็กส่วนมาก
ด้วยการเสียสละชีวิตเด็กหนึ่งคนนั้นดูสมเหตุผล ทั้งทางศีลธรรมและความรู้สึก
แต่คุณเคยคิดบ้างไหมว่าเด็กที่เลือกเล่นบนรางที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว ที่จริงเขาได้ตัดสินใจถูกต้องที่จะเล่นในสถานที่ๆ ปลอดภัยแล้วต่างหาก แต่ทว่า เขากลับต้องเสียสละชีวิตให้กับเพื่อนที่ไม่ใส่ใจ และเลือกที่จะเล่นในที่อันตราย
สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นรอบตัวเราทุกวัน โดยเฉพาะในสังคมประชาธิปไตย คนกลุ่มน้อยมักจะถูกบังคับให้เสียสละต่อผลประโยชน์ของคนหมู่มากอยู่เสมอด้วยข้ออ้างที่ว่าเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
แม้ว่าคนกลุ่มน้อยจะฉลาดมองการณ์ไก ลและคนหมู่มากจะโง่เง่าและเสียสติก็ตาม เด็กคนที่เลือกที่จะไม่เล่นบนรางที่อยู่ในการใช้งานตามเพื่อนๆ ของเขา และคงไม่มีใครเสียน้ำตาให้ หากเขาต้องสละชีวิต
คนอื่นจะคิดอย่างไรก็แล้วแต่ หากเป็นผม ผมจะไม่พยายามเปลี่ยนเส้นทางรถไฟ เพราะผมเชื่อว่าเด็กที่เล่นอยู่บนรางที่อยู่ในการใช้งานย่อมรู้ดีว่ารางนั้นยังอยู่ในระหว่างการใช้งาน และพวกเขาควรจะหลบออกมาเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงหวูดรถไฟ
ถ้าทางรถไฟถูกเปลี่ยนเด็กหนึ่งคนนั้นต้องตายอย่างแน่นอน เพราะเขาไม่เคยคิดว่ารถไฟจะเปลี่ยนมาใช้เส้นทางนั้น ด้วยเหตุผลของการพยายามช่วยชีวิตเด็กจำนวนหนึ่งโดยการสละชีวิตเด็กหนึ่งคนคนนั้น
เรารู้ว่าชีวิตเต็มไปด้วยการตัดสินใจอันยากลำบาก
บางครั้งเราอาจลืมไปว่า การตัดสินใจอันรวดเร็วใช่จะเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป จำไว้ว่า สิ่งที่ถูกต้องไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่นิยมปฎิบัติ และสิ่งที่เป็นที่นิยมไม่จำเป็นต้องถูกต้องเสมอไป
เรื่องการตัดสินใจในการสับรางรถไฟนี้ เปรียบได้กับการตัดสินใจทางการเมืองของเราในหลายๆเหตุการณ์ ผู้ที่ทำตามกฎกติกา ทำตามกฎหมาย ทำตามรัฐธรรมนูญ แต่เป็นคนกลุ่มน้อยในสังคม ถูกจับกุมคุมขัง ถูกลงโทษข้อหาเร่ร่อนจรจัดเพราะไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง แต่คนที่โกงทรัพย์สินหรือผืนแผ่นดินของชาติกลับลอยนวล
คนที่ประท้วงโดยสุจริตด้วยการผูกผ้าแดงถูกจับกุมข้อหาละเมิด พรก.ฉุกเฉิน แต่คนที่ฉีกรัฐธรรมนูญกลับไม่ต้องรับโทษทัณฑ์ใดใด
คนที่มาชุมนุมเรียกร้องให้มีการยุบสภากลับถูกสังหารถึง 90 ชีวิต แต่ผู้ที่สังหารเขาเหล่านั้นกลับไม่ต้องถูกลงโทษลงทัณฑ์ใดใด เพราะเพียงข้ออ้างว่าต้องรักษาชีวิตของคนส่วนใหญ่ที่เล่นอยู่ในรางที่ชื่อว่าความมั่นคงของชาติ ทั้งๆ ความจริงแล้วเป็นเพียงความมั่นคงของรัฐบาล หาใช่ความมั่นคงของรัฐไม่
ชีวิตของคน 90 คนคงไม่มีความหมายใดใดในสายตาของชนชั้นกลางและชนชั้นสูง เพราะเห็นว่าเป็นเพียงชีวิตของคนกลุ่มน้อย เมื่อเปรียบเทียบกับชีวิตของเขาทั้งหลายที่เลือกเล่นในรางที่รู้อยู่ว่ามีอันตรายเพราะขณะที่รถไฟสายประชาธิปไตยกำลังวิ่งอยู่ แต่พวกเขากลับท้าทาย ด้วยการนำสิ่งอื่นมาเล่นในเส้นทางสายประชาธิปไตยด้วยการฉีกรัฐธรรมนูญบ้าง ด้วยการเรียกร้องมาตรา 7 บ้าง ฯลฯ เพียงเพื่อรักษาผลประโยชน์และความสนุกสนานของพวกเขาเอง
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะรักษาความถูกต้องด้วยการรักษาชีวิตของคนส่วนน้อยที่ทำถูกต้องและนำผู้กระทำความผิดมารับโทษ แม้ว่าจะได้ความรับความเห็นชอบจากเสียงส่วนใหญ่ที่ยกมือไว้วางใจในสภาก็ตาม
----------------------------------------------------------
Posted by : ทีมข่าวภูเก็ตอีนิวส์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น