วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

"กมนเกด อัคฮาด" : เบื้องหน้าความตาย เบื้องหลังชีวิต พยาบาลอาสาในวัดปทุมฯ

จากเหตุการณ์การสลายการชุมนุมของ กลุ่ม นปช.แดงทั้งแผ่นดิน บริเวณแยกราชประสงค์ เมื่อเช้าตรู่วันที่ 19 พฤษภาคม ที่ผ่านมา โดยการปฏิบัติการของหน่วยทหาร ภายใต้การสั่งการของรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผ่านทาง ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) โดยมีการเรียกปฏิบัติการณ์ดังกล่าวอย่างสวยหรูว่าเป็น "ปฏิบัติการกระชับพื้นที่" นั้น

นอกเหนือไปจากมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมากจากปฏิบัติการดังกล่าวแล้ว อีกภาพหนึ่งที่เป็นเรื่องสะเทือนใจของผู้คนในสังคมก็คือ มีศพจำนวน 6 ศพถูกยิงภายใน วัดปทุมวนาราม ซึ่งถูกระบุให้เป็น "เขตอภัยทาน" แต่พยานที่เห็นเหตุการณ์ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า ทั้งหมดถูกซุ่มยิงจากรางรถไฟฟ้า BTS ที่พาดผ่านบริเวณด้านหน้าวัด ซึ่งจากการตรวจสอบของแพทย์ก็ระบุชัดเจนว่า ทุกศพถูกยิงเข้าจุดสำคัญที่เป็น "จุดตาย" แทบทั้งสิ้น

ผู้เสียชีวิตบริเวณวัดปทุมวนาราม มี 6 ศพ ทราบชื่อภายหลัง ดังนี้
1. นายวิชัย มั่นแพ อายุ 61 ปี อยู่บ้านเลขที่ 31/1 หมู่ 7 ต.กระทุ่มล้ม อ.สามพราน จ.นครปฐม 

2. นายมงคล เข็มทอง อายุ 37 ปี อยู่บ้านเลขที่ 3/24 แขวงและเขตปทุมวัน กทม. เป็นเจ้าหน้าที่มูลนิธิปอเต็กตึ๊ง กระสุนทำลายปอด หัวใจ และตับ
3. นายอัฐชัย ชุมจันทร์ อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 41 หมู่ 11 ต.โพนทราย อ.โพนทราย จ.ร้อยเอ็ด เป็นนักศึกษาพึ่งเรียนจน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
4. นางสาวกมลเกด อัคฮาด เจ้าหน้าที่อาสาของสภากาชาดไทย ถูกยิงเข้าที่ศีรษะทำให้สมองถูกทำลาย อายุประมาณ 20 - 25 ปี ซึ่งเป็นอาสาพยาบาล เสียชีวิตภายในเต็นท์พยาบาล
5. นายอัครเดช ขันแก้ว ชาว ต.หนองผือ อ.เขาวงศ์ จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งถูกยิงเข้าที่ศีรษะ ทำให้สมองถูกทำลาย
6. เป็นชายไม่ทราบชื่อ กระสุนทำลายปอดและหัวใจ

----------------------------------------------------------

สำหรับ 1 ใน 6 ศพที่อยู่ใน วัดปทุมวนาราม นั้น คือ "น้องเกด" ซึ่งเป็นพยาบาลอาสา ที่มีพยานยืนยันว่า "น้องเกด" ถูกยิงขณะที่กำลังยืนทำแผลห้ามเลือดให้อีกคนอยู่ข้างในบริเวณเต็นท์พยาบาลบริเวณวัดตรงนั้น ก็ถูกยิงร่วงนอนเสียชีวิตตรงนั้น 

กมนเกด อัคฮาด ดำเนินชีวิตมาได้ 25 ปีกับอีก 1 เดือน ชื่อเล่นที่เพื่อนๆ เรียกคือ "เกด" แต่สำหรับครอบครัวแล้วเรียกว่า "หมู" เธอมีรูปร่างอ้วนท้วมสมบูรณ์ แม่ของเธอบอกว่าสาเหตุหลักมาจากการกินแหลกนั่นเอง

"เกด" เกิดในครอบครัว ที่พ่อแม่ทำงานปากกัดตีนถีบ แม่ขายข้าวแกง ก่อนจะมาขายดอกไม้ พวงมาลัย ในตลาดใกล้บ้าน พ่อเป็นลูกจ้างอยู่ที่การไฟฟ้าแห่งหนึ่ง แต่ครอบครัวของเธออบอุ่น เกดและน้องชายอีก 2 คน คนหนึ่งอายุ 18 ปี อีกคนหนึ่งอายุ 21 ปี สนิทกันมาก วิ่งไล่แกล้งกันตั้งแต่เล็กจนโต และจนกระทั่งปัจจุบัน

น้องๆ และแม่เล่าว่า "เกด" เป็นคนที่มีนิสัยโวยวาย โผงผาง อารมณ์ดี ปากร้าย พูดจาตรงๆ แต่ใครๆ ก็รัก เพื่อนๆ เพียบ สมัยช่วยแม่ขายของที่ตลาดใครก็รู้จักเกดกันทั้งบาง วันไหนไม่ไป น้องๆ นุ่งๆ แถวนั้นเป็นอันหมดสนุก น้องชายของเกดบอกว่า เสียงหัวเราะของเธอได้ยินไกลลั่นทุ่ง ไม่ต้องเห็นตัวก็รู้ว่าเกดมาแล้ว

อันที่จริงแม้ใครไม่เคยได้เห็นเกดตอนมีชีวิต ถ้าได้คุยกับแม่ของเกดก็พอเดาได้ว่าอารมณ์ลุยๆ ห้าวๆ นั้นเธอได้มาจากใคร 

ก็โบราณเขาว่าดูนางให้ดูแม่ ในขณะที่พ่อเป็นคนค่อนข้างเงียบ เรียบร้อย และดูใจเย็น "เกด"เป็นคนดื้อ ดื้อมาตั้งแต่เด็กจนกระทั่งนาทีสุดท้ายของชีวิต สมัยเรียนมัธยม "เกด"มักโดดเรียนเป็นประจำเพื่อหนีไปกับเพื่อน เพื่อนก๊วนเกดเป็นอาสาสมัครปอเต๊กตึ๊ง และมักชวนกันออกตระเวนช่วยเหลือคนเจ็บคนตายด้วยกันเสมอ 

แม่ยืนยันเกดไม่เคยกลัวอะไร และชอบงานท้าทายที่ได้ช่วยชีวิตคนแบบนี้มาก ห้ามไม่ได้ก็เลยปล่อย เช่นเดียวกับการอาสาไปดูแลคนเสื้อแดงคราวนี้

จบจากมัธยม เรียนพาณิชย์ได้ไม่เท่าไรก็ต้องลาออกมาเรียน กศน. จากนั้นจึงไปเรียนต่อศึกษาบริบาล ระหว่างเรียนก็ฝึกงานตามโรงพยาบาล ทั้งแผนกอุบัติเหตุ จนถึงนิติเวช ก่อนจะออกมาประจำอยู่ที่โรงพยาบาลการุณพิทักษ์แผนกอุบัติเหตุ แม่บอกว่าเกดมีทักษะด้านนี้ บางทีนักเรียนแพทย์ผ่าเส้นเอ็นอะไรไม่เป็นก็มาให้เกดช่วยสอน หรือแผนกแต่งศพไม่มีคนก็มาเรียกเกดเพราะเธอทำได้ทุกอย่าง

แม่เล่าว่า ครั้งหนึ่งในแผนกอุบัติเหตุที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง มีคนงานถูกเครื่องจักรบดนิ้ว หมอบอกว่าอาจต้องตัดนิ้วทิ้งสามสี่นิ้ว แต่เกดเห็นแล้วหวังว่ายังพอต่อได้ และคนงานไม่มีนิ้วก็เท่ากับแทบไม่เหลือโอกาสทำมาหากิน เกดจึงบอกให้คนไข้คนนั้นอดทนหน่อยเพื่อรอหมอมือฉมังที่สุดที่กำลังมาสับเวร กระทั่งหมอมาและตัดสินใจผ่าตัด ดาม ต่อให้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องเสียนิ้ว

ทำอยู่สองสามปีจนโรงพยาบาลปิดตัวลง เกดจึงได้ออกมาช่วยแม่ค้าขาย กระทั่งได้ทำงานชั่วคราวกับญาติก่อนที่จะโดดงานอีกครั้งเพื่อไปเป็นอาสา สมัครในที่ชุมนุมกลุ่มเสื้อแดง แรกๆ ก็ไปหลังเลิกงาน แต่ช่วงหลังดูเหมือนเธอไปอย่างเต็มตัว และทิ้งที่บ้านไว้เบื้องหลัง เกดบอกแม่ว่าประชาชนมีคนเฒ่าคนแก่และเด็กเยอะ อยู่กันยาวๆ มีเจ็บป่วยกันแยะ แม้มีอาสาสมัครหลายคนที่มาช่วยแต่ก็ยังไม่ได้สัดส่วนกับผู้ชุมนุม

ความใฝ่ฝันของ"เกด" คือต้องการไปสอบเป็นผู้ช่วยพยาบาลในกองทัพบก และประกาศเจตนาแน่วแน่กับแม่ว่า "ถ้าสอบได้ หนูจะลงใต้"  แม่รู้ดีว่ายากจะห้ามปราม แต่ก็ได้ทักท้วงให้สอบปีหน้า เพราะปีนี้คาดว่าคงลดน้ำหนักไม่ทัน

หลังจากไปร่วมกับ อาสาสมัครอื่นๆ คอยปฐมพยาบาลกลุ่มผู้ชุมนุมอย่างเต็มตัว "เกด"ก็ไม่ค่อยรับโทรศัพท์ที่บ้านเพราะกลัวโดนตามตัวกลับ กระทั่งวันที่เธอเสียชีวิต เธอรับโทรศัพท์แม่ก่อนเสียชีวิตไม่กี่ชั่วโมง มันเป็นเสียงสุดท้ายที่ผู้เป็นแม่ได้ยิน ขณะทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บคนอื่นๆ  เธอถูกยิงขณะทำหน้าที่นั้นในชุดคลุมสัญลักษณ์หน่วยแพทย์ หมอบอกเพียงว่า เธอโดนยิง 2 นัด กระสุนทำลายสมอง ขณะที่เพื่อนๆ ที่ไปรับศพเธอกลับเห็นว่า มีร่องรอยของกระสุนปืนมากกว่าสองนัด

น้องชายคนกลางเล่าว่า หลังรู้ข่าวบ้านทั้งบ้านมีแต่เสียงร้องไห้ระงม ไม่มีใครได้สติ กระทั่งแม่เริ่มยอมรับสภาพได้ และเริ่มต้นจัดแจงทุกสิ่งทุกอย่างเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อลูกสาว ขณะที่พ่อยังคงไม่กินข้าวกินปลา น้องชายคนเล็กดูคลิปครอบครัวเก่าๆ แล้วร้องไห้ทั้งคืน

ความตั้งใจที่แต่ เดิมจะเก็บไว้ร้อยวันเป็นอันยุติลงเนื่องจากต้องการให้คนที่บ้าน โดยเฉพาะผู้เป็นพ่อพ้นจากความโศกเศร้าตรอมใจ ...

----------------------------------------------------------
เปิดใจ "แม่น้องเกด" ลูกตายทั้งที่มีเครื่องหมายกาชาด
----------------------------------------------------------


ที่มา : youtube.com
Posted by : ทีมข่าวภูเก็ตอีนิวส์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น