วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ก้าวย่างอันยิ่งใหญ่ ของจอมคนแห่งอุษาคเนย์


รถยนต์ตรวจการณ์สีขาว เปิดไฟวับวาบบนหลังคา แล่นนำหน้านกเหล็กสีเงิน อ้อยอิ่งมาตามลานสนามบินอย่างสง่าผ่าเผย ท่ามกลางสายตาฝูงชน ที่เฝ้ามองผ่านสื่ออย่างใจจดใจจ่อ ด้วยภารกิจที่ไม่ธรรมดา ทำให้ยานบินส่วนตัวลำกระทัดรัด ดูยิ่งใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ

เพราะมันทำหน้าที่สำคัญอย่างยิ่งยวด เป็นภารกิจที่จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ ตราบนานเท่านาน

ประตูเปิดออกเมื่อยานจอดสนิท พลันร่างของบุรุษหนึ่งก็ปรากฎขึ้นอย่างโดดเด่น ภายใต้เสื้อเชิ๊ตสีฟ้า สวมทับด้วยชุดสูทสีดำ แต่งแต้มด้วยเน็คไทด์ลายดอกสีแดง ท่วงท่าทระนงองอาจ ราวกับพญาราชสีห์ ที่เกิดมาเพื่อยิ่งใหญ่โดยธรรมชาติ

นั่นคือการปรากฎตัวอย่างเป็นทางการ ของจอมคนแห่งอุษาคเนย์ ผู้เรืองนามขจรขจายไปทั้งสิบทิศว่า ทักษิณ ชินวัตร

ค้อมร่างลงเล็กน้อย สองมือยกขึ้นจบกันอย่างนอบน้อม สองเท้าก้าวเข้าหาแขกเหรื่อที่มารอต้อนรับอย่างสมเกียรติ ท่วงทีกริยาสุภาพเรียบร้อย ดูไปไม่ผิดกับเสือซ่อนเล็บ ราศีผู้นำเจิดจ้าเกินกว่าที่จะเรียกว่านักโทษ ซึ่งเป็นสมญาที่หมู่มารพยายามจะยัดเยียดให้เป็น

โดยไม่ยอมรับรู้ความจริงที่ว่า แม้จะเป็นนักโทษของอำมาตย์ แต่เขาคือพระเอกที่ครองใจประชาชน

ในรถลีมูซีนสีดำคันโก้ ขนาบหน้าหลังด้วยรถคุ้มกันที่ไว้ใจได้ ปิดท้ายด้วยรถติดตามอีกยาวเหยียด นั่นคือขบวนเกียรติยศที่จะนำแขกบ้านแขกเมืองคนสำคัญ ไปส่งยังบ้านพักรับรอง ที่จัดไว้เป็นพิเศษ ภายใต้การอารักขาอย่างเข้มแข็ง ที่ไม่มีช่องว่างให้แก่ความผิดพลาด แม้เพียงเท่ารูเข็ม

วินาทีนั้น หากมีแมลงวันสักตัว บินโฉบเข้ามาในรัศมีทำการ ร่างของมันคงต้องแหลกลาญ สลายลงในพริบตา

คฤหาสน์ใหญ่โตมโหฬาร ยังดูด้อยไปถนัด เมื่อต้องทำหน้าที่ต้อนรับ อาคันตุกะผู้ยิ่งใหญ่ ที่เป็นยิ่งกว่าแขกพิเศษของรัฐบาล จนแม้แต่ท่านผู้นำแห่งกำปูเจีย ยังต้องให้เกียรติอย่างสูง ด้วยการนำพาครอบครัวอันอุ่น เข้ามาต้อนรับถึงที่พำนัก อันเป็นความรู้สึกที่ คนผู้ไม่มีครอบครัวไม่อาจสัมผัสได้

มหาบุรุษต่างอาณาจักร โผเข้าสวมกอดกัน ราวกับพี่น้องที่เหินห่างกันไปนาน ต่างแลกเปลี่ยนความอบอุ่นให้แก่กันและกัน อันเป็นสัญญาณว่าอาณาจักรทั้งสอง จะปรองดองเป็นหนึ่งเดียวไปชั่วนิรันดร์

เพื่อนก็คือเพื่อน เพียงแค่ได้พบกันก็สุขใจเกินพอแล้ว ไม่มีพิธีรีตองให้รุ่มร่าม ไม่มีของฝากติดไม้ติดมือให้ยุ่งยาก นอกจากสองมือที่อบอุ่น กับหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยมิตรไมตรี ถ้าจะประเมินค่าของฝากที่บรรจุมาในสมองแล้ว มันยิ่งกว่าเศียรเทวรูป ที่เคยมีโจรนำมาจิ้มก้อง ชนิดเทียบกันไม่ติด

เมื่อสองมหาบุรษมาประสานกัน อุปสรรคขนาดไหนถึงจะขวางกั้นได้ การนำพาประชาราษฎร์ โต้คลื่นไปบนกระแสแห่งโลกาภิวัฒน์ นับเป็นความท้าทายสำหรับผู้มองการณ์ไกล แต่เป็นความเสียวสยองของระบอบโบราณ ที่เกาะกินประเทศไทยมาอย่างยาวนาน

.......................................................................


ในขณะที่อาณาจักรโบราณอย่างกำปูเจีย กำลังจะก้าวย่างไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น แต่อาณาจักรที่ก้าวหน้าอย่างสยามประเทศ กลับถูกฉุดรั้งให้ถอยกลับไปในสมัยโบราณ โดยเครือข่ายอำมาตย์อันล้าหลัง ที่ไม่สามารถดำรงชีพอยู่ได้ ภายใต้สภาวะแวดล้อม ที่เต็มไปด้วยประชาชนหัวก้าวหน้า

ท่ามกลางบรรยากาศอันชื่นมื่น มันคือความขมขื่นของปวงชนชาวไทย ที่ไม่อาจรักษาบุคคลากรอันล้ำค่าไว้ ให้อยู่ช่วยสร้างบ้านแปลงเมือง

น้ำตานั้นเอ่อท้นจนพาลจะไหลออกมานอกเบ้า เมื่อเห็นแก้วมณีที่เคยครอง ต้องตกไปอยู่ในมือของเพื่อนบ้าน ที่เขาเล็งเห็นคุณค่า จนนำขึ้นประดับคอออกเดินเฉิดฉาย โดยเจ้าของที่แท้จริงได้แต่แอบมองด้วยความอิจฉา ที่ไม่อาจรักษาดวงแก้ว ที่โจรครองเมือง มันบีบบังคับให้ทำลายทิ้ง

เมื่อบุญมา แต่วาสนายังไม่ถึง จึงทำได้แค่ลิ้มรสความสุขเพียงชั่วครั้งชั่วคราว นอกเหนือกว่านั้น คงต้องฝากประชาชนชาวเขมร ให้ช่วยดูแลรักษาไว้ให้จงดี ระหว่างนี้จะนำไปใช้ประโยชน์ก็ไม่ว่ากัน เพียงขอให้ส่งคืนในสภาพเดิม หลังจากที่ชาวไทยเผด็จศึกอำมาตย์แล้ว

เมื่อแสงอาทิตย์สาดส่อง สว่างไสวไปทุกหย่อมหญ้า วิสัยทัศน์ของประชาชน ก็เปล่งประกายเจิดจ้า มองทะลุไปถึงก้นบึ้งแห่งมนต์ดำ มาถึงขั้นนี้แล้ว คงไม่มีใครลังเลที่จะบุกบั่นไปทวงสิทธิ์ เพื่อชีวิตข้างหน้าที่ดีกว่า แม้ภูเขาจะขวางหน้า แม้ขอบฟ้าจะขวางกั้น ประชาชนจะฟันฝ่า เพื่อตามหาศิลามณี

ในเมื่อเจ้าของก็สุดจะหวงแหน และมณีล้ำค่าก็ผูกพันกับเจ้าของ มีหรือที่ทั้งคู่จะไม่ได้กลับมาอยู่ร่วมกัน ในที่สุด

แม้ว่าวันนี้จะยังดูมืดมน แต่ในเมื่อข้างหน้ายังเห็นแสงสว่าง ย่อมแสดงว่าความหวังยังรออยู่ แม้จะอ่อนล้าเพียงใด แต่ถ้าใจยังไม่สิ้นหวัง สังขารคงต้องตะเกียกตะกายไปให้ถึงฝั่งจนได้ ถ้าอัดอั้นตันใจนัก ก็แค่ร้องในใจให้ดังๆว่า...

เมื่อฟ้าส่งเขามา ซับน้ำตาให้ปวงชน ใยนรกต้องส่งจอมมาร มาตามล่าล้างผลาญเล่า

ที่มา : วโรทาห์: 11 พ.ย. 52

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น