วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2553

คนกำลังเสื่อมศรัทธากระบวนการยุติธรรม

เขียนโดย : พระพยอม กัลยาโณ
วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม 2010 เวลา 10:16 น.


เหตุการณ์หนึ่งที่อาตมาพูดไว้ตั้งแต่ตอนเกิดเรื่องโฉนดถุงกล้วยแขกขึ้นกับวัดสวนแก้ว เพราะแปลกที่กฎหมายรักษาผลประโยชน์ให้กับคนส่วนน้อยมากกว่าให้กับคนสวนใหญ่ คล้ายๆ กับคดีมาบตาพุด

กรณีมาบตาพุดไม่ต่างกันตรงที่ศาลสั่งคุ้มครองจนประเทศสูญเสียเงินหลายแสนล้านบาท ถึงแม้เราก็รู้ว่าชาวบ้านในท้องถิ่นเขาได้รับผลกระทบ แต่เมื่อเทียบความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประเทศชาติแล้วก็ยังเทียบกันไม่ได้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าแย้งกระบวนการตัดสิน เพราะเดี๋ยวจะมีความผิดฐานหมิ่นศาล

แต่ประเด็นเหล่านี้กลับถูกเอามาวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางถึงผลดีผลเสีย สะท้อนออกทางทีวี.เพื่อส่งไปให้กระบวนการยุติธรรมได้รับรู้ เรียกว่าสะท้อนกันทุกวันให้ฟังแบบหูชินหูชากันที่เดียว

กรณีการยุบพรรคการเมืองหลายๆ พรรค ที่ผ่านมาจนกระทั่งมาจ่อคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ หรือจะกรณีเขายายเที่ยงก็ด้วย ประเด็นเหล่านี้หากไม่ได้รับแรงกระตุ้นจากคนในสังคม จากสื่อมวลชน ก็แทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ควรจะเป็น หรือจะเรื่องการกระทำความผิดของคนกลุ่มหนึ่งที่ทุกวันนี้กฎหมายยังไม่สามารถ ดำเนินการอะไรได้ จนพวกเสื้อแดงออกมาขู่ว่าจะไปปิดสนามบินเพื่อกระทุ้งถามผลทางกฎหมายว่าไปถึง ไหนแล้ว รัฐบาลก็ได้แต่อ้างว่าเรื่องเกิดในรัฐบาลที่แล้ว ต้องใช้ความรอบคอบ ถามว่าแล้วถ้ามีคนปล้นกันในรัฐบาลที่แล้วตำรวจจะไม่เร่งดำเนินคดีหรือ คนเสื้อแดงรายหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่า จะเอาอะไรเพราะ ส.ส.ของรัฐบาลที่เคยร่วมยึดสนามบินด้วย รัฐบาลยังจัดการอะไรไม่ได้

สิ่งเหล่านี้ทำให้รู้สึกได้ว่าคนไทยกำลังทะเลาะกันด้วยเรื่องหลักการปฏิบัติที่ อ้างว่าเป็น 2 มาตรฐานรุนแรงมากขึ้นทุกที ทำให้หลายคนที่ไม่เคยสนใจการเมือง ไม่เคยสนใจไปชุมนุมกับม็อบต้องหันมาคิดใหม่ การวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนักถึงกระบวนการยุติธรรมทำกันอย่างไม่เกรงกลัว ว่าจะถูกตั้งข้อหาหมิ่นศาล

อย่างกรณี กกต. ถ้าไม่สั่งยุบพรรคไทยรักไทย ชาติไทย ฯลฯ ตั้งแต่เริ่มแรกก็คงไม่ต้องปวดหัวกับการจะสั่งหรือไม่สั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์ เพราะพรรคที่ถูกยุบก็จะมาอ้างฐานความผิดเดียวกันว่า แบบนี้ต้องยุบ ซึ่งกดดัน กกต. แบบสุดๆ

อาตมายังคิดว่าคนที่มาร่วมกับม็อบน่าจะหยุด แล้วหันกลับไปทำหน้าที่ที่เคยทำ ไปทำนาทำไร่ แต่ที่เขายังไม่หยุดกันเพราะอะไร เพราะปลุกขึ้น ปลุกขึ้นเพราะอะไร เพราะข้อมูล เพราะสถานการณ์ถูกกระพือออกมามากจนทำให้คนอยากเข้ามาเป็นแนวร่วมกันมากขึ้น แล้วก็มาสร้างความเกลียดชังกัน ทั้งด่า ทั้งกล่าวหา ทั้งวิพากษ์วิจารณ์ฝ่ายตรงข้าม

ประเทศไทยเราหากว่ายุยงคนให้หมดความศรัทธาในกระบวนการยุติธรรมแบบท้าทายแล้ว อะไรจะเกิดขึ้น มันก็ย่อมเกิดการไม่ยอมเคารพกติกา ในขณะที่คนร่างกติกาเองก็ไม่รอบคอบ เพราะตอนนั้นคิดแต่จะไล่ล่าฝ่ายหนึ่ง หรือจะร่างเพื่อป้องกันคนที่จะเข้ามามีตำแหน่งในทางการเมืองแล้วจะกอบโกย ฉวยโอกาสโกง จึงต้องร่างกฎหมายแบบนี้ขึ้นมาเพื่อป้องกันก็ตาม

เพราะกฎหมายหากออกมาแล้วทำให้ประเทศชาติและคนส่วนใหญ่ต้องเสียหายก็จะยิ่งไปกันใหญ่ ยกตัวอย่างกรณีโฉนดถุงกล้วยแขกของวัดสวนแก้ว ที่เริ่มต้นจากคนรู้กฎหมายแต่งเรื่องให้ศาลพิจารณาว่าที่ดินแปลงนี้จะออกโฉนดหรือไม่ เพราะครอบครองปรปักษ์มาตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว เมื่อศาลพิจารณาตามที่ทนายแต่งเรื่องมาสั่งให้ออกเป็นโฉนดได้ และคนที่ได้โฉนดก็นำมาขาย (ขายให้วัดและบุคคลอื่น)

สรุปแล้วก็เป็นการผ่านกระบวนการที่ร่วมกันทำมาทั้งนั้น ไม่ว่าจะผู้ร้องขอ ทนาย ศาล ผู้แย้งที่มาทีหลัง แต่เมื่อผลเสียมาต้องกับคนที่รับซื้อเมื่อศาลสั่งใหม่ตามผู้แย้งว่าให้คืนที่ดินดังกล่าวให้กับเจ้าของเดิมคือผู้แย้ง นั่นหมายความว่า คนที่รับกรรมก็คือคนซื้อที่เสียเงินไปแล้ว 10 ล้านบาท แต่คนที่ตัดสินให้ทำ ไม่ต้องรับกรรมอะไรเลย และใครๆ ก็กลัว อาตมาก็กลัว ไม่กล้าไปแตะต้อง และที่ดินก็ยังถูกปล่อยปละละเลย รกร้างว่างเปล่า ไม่ได้ทำให้เกิดคุณเกิดประโยชน์อะไร ถ้ายังคงเป็นที่วัดก็น่าจะพอมีประโยชน์ต่อคนอื่นอีกจำนวนมาก

พอมาถึงวันนี้ชักจะไม่ค่อยกลัวเสียแล้ว เพราะเห็นคนนั้นลุกขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์การตัดสินคดีนี้ คนนี้ก็วิพากษ์วิจารณ์การตัดสินคดีนั้น คนเราเขาบอกว่าบางสถานการณ์ทำให้เราสงบอารมณ์ได้ แต่บางสถานการณ์ก็ทำให้มีอารมณ์ที่อยากจะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้เหมือนกัน อยากจะร่วมเดินขบวน อยากจะตั้งม็อบขึ้นมาทวงถาม มีสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งมาคุยกับอาตมาว่า อยากชวนมาจัดรายการ “ท่านคือแพะรับบาป” หรือ “ท่านคือแพะรับกระบวนการยุติธรรม” เพราะทุกคนรอดหมดยกเว้นท่าน แม้แต่กรมที่ดินตอนโอนโฉนดยังรอดทั้งๆ ที่ภาษีก็เก็บ ค่าธรรมเนียม ค่าโอนก็เก็บ แม้ว่าภายหลังศาลสั่งให้การซื้อขายเป็นโฆษะแล้วก็ตาม

มีคนตั้งข้อสงสัยว่า เป็นบาปกรรมของกระบวนการยุติธรรมหรือเปล่า จึงทำให้ทุกวันนี้ความศรัทธาในกระบวนการยุติธรรมเหลือน้อย มีการออกมาวิพากษ์วิจารณ์ด่าว่ากันแบบไม่ยั้งปากเหมือนคราวก่อนๆ คิดว่าถ้ามีการตั้งข้อหาหมิ่นศาลกับคนที่วิจารณ์ศาลในวันนี้คงไม่มีที่พอให้คุมขัง

อาตมาคิดว่าอาจเป็นกรรมที่ท่านทั้งหลายทำไว้กับที่ดินหลายแห่ง อย่างกรณีที่ของคนใหญ่คนโต ถ้าไม่มีใครไปง้างไปแย้ง ที่บนเขายายเที่ยงก็คงจะไม่เที่ยง คงจะถูกนำไปเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของคนที่มีอำนาจเหนือกระบวนการยุติธรรม

อาตมาไม่เคยเชื่อเลยว่า จะมีรัฐบาลชุดไหนสามารถนำที่ดินที่เป็นสมบัติชาติที่ถูกนายทุนยึดไป นำมาเกลี่ยเฉลี่ยคืนให้กับชาวบ้านชาวช่อง หรือคืนให้กับชาติได้ทั้งหมด หรือที่รัฐบาลชุดนี้พยายามพูดว่าจะจัดสรรที่ดินทำกินให้กับชาวบ้านก็ยังทำไม่ได้ เพราะทำเพียงแค่ให้คนอื่นรู้ว่ารัฐบาลนี้มีแนวคิดดีก็เท่านั้น

เพราะฉะนั้นเรื่องราวในกระบวนการยุติธรรมของประเทศถือว่าเป็นเรื่องที่สุดของที่สุด อาตมาเกิดมา 60 ปียังไม่เคยมีรู้สึกสะอิดสะเอียน หรือรังเกียจในกระบวนการยุติธรรมได้มากเท่าครั้งนี้เลย เพราะถ้าใครมีเส้นมีสาย มีอำนาจ มีเงิน ก็สามารถพลิกคดีได้ ซึ่งความไม่เป็นธรรมในเรื่องที่ดินที่คนถูกโกงมีมากมายมหาศาล ทั้งทับสิทธิ ทั้งโฉนดซ้อน ฯลฯ

เจริญพร

ที่มา: http://www.dailyworldtoday.com/columblank.php?colum_id=33074

Posted by : ทีมข่าวภูเก็ตอีนิวส์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น