วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2553
จับเท็จ "ไก่อู" อ้างมั่วผู้ก่อการร้ายยิงทหาร
เมื่อเวลา 20.00 น. วันนี้ (30 เม.ย.) ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11รอ.) พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ในฐานะโฆษกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้แถลงถึงสาเหตุการเสียชีวิตของ พลทหารณรงค์ฤทธิ์ สาระ ขณะปฏิบัติที่บริเวณอนุสรณ์สถานเมื่อวันที่ 28 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยมีการนำภาพวิดิโอวันเกิดเหตุมาให้สื่อมวลชนรับชมพร้อมบรรยายว่า
บริเวณที่เกิดเหตุเป็นบริเวณถนนวิภาวดีขาออก แถวข้างหน้าเป็นแถวตำรวจ จะเห็นได้ว่า คนนั่งซ้อนท้ายหัวพุ่งลง แสดงว่าโดนยิงกระสุนมาจากฝั่งขวา ดังนั้นแสดงให้เห็นว่า เป็นไปไม่ได้ที่ทหารจากกองพลทหารม้าที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.ม.1) ที่อยู่ทางฝั่งซ้ายจะเป็นคนยิง ซึ่งจะเห็นว่า เป็นการแอบยิงมาจากผู้แอบยิงจากทางด้านฝั่งขวา และบริเวณเกาะกลางจะเห็นว่า มีคนก่อการร้ายถืออาวุธปืนอยู่ ใส่ชุดดำ และโพกผ้าแดงอยู่ด้วย ซึ่งเบื้องต้นเป็นการสันนิษฐานมาจาก ศอฉ. ดังนั้น จึงขอให้เจ้าหน้าที่ทำงานก่อน อย่าเพิ่งด่วนสรุป
ขณะที่ พ.อ.พีระพล ปกป้อง ผู้อำนวยการกองอุบัติเหตุโรงพยาบาลพระมงกุฎ กล่าวว่า จากที่ได้ตรวจสภาพศพของ พลทหารคนดังกล่าวนั้นพบว่า มีรอยรูกระสุนเข้าหางคิ้วซ้าย ต่อไปยังถึงขมับ แต่กระสุนเข้าข้างใน จากวิถีกระสุนทำให้กะโหลกแตกเป็นรอยกว้าง ทำลายเนื้อสมองด้านหน้าอย่างมาก ทำให้เสียชีวิตทันที เนื้อสมองมีสะเก็ดกระจายอยู่ ซึ่งอาวุธที่ใช้ในการยิงร้ายแรงมาก สันนิษฐานว่า ไม่น่าใช่กระสุนปืนเอ็ม 16 เพราะการยิงกะโหลกทำให้สมองกระจายด้วยกระสุนนัดเดียว และเป็นการยิงจากระยะไกล ไม่มีรอยเขม่า จะเห็นว่า มีเพียงเศษวัสดุทองแดงตะกั่ว หากเป็นกระสุนปืนเอ็ม 16 จะมีร่องรอยกระสุน ส่วนจะเป็นอาวุธชนิดไหนคงให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์ทราบอีกครั้ง
จากการให้สัมภาษณ์ของ พ.อ.พีระพล จึงเป็นการยืนยันอย่างชัดเจนว่า วิถีกระสุนปืนถูกยิงมาจากด้านซ้าย ซึ่งเป็นส่วนที่มีทหารจากกองพลทหารม้าที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.ม.1) ตั้งแนวรับอยู่ ไม่ใช่ถูกยิงมาจากด้านขวาอย่างที่ พ.อ.สรรเสริญ กล่าวแต่อย่างใด
(ดูจากคลิปของช่อง 9) ดูในวงกลมสีแดงใกล้เกาะกลางคือจุดตาย ส่วนสีเขียวทางขวามือมีบางคนว่าเป็นกลุ่มควันปืนความจริงเป็นน้ำฝนที่ถูกลมพัดตกลงมาจากทางด่วน ชัดเจนว่า ทหารยิงแน่นอน เพราะอยู่ใกล้แนวทหารมากๆ ถ้าใครแอบยิงจากเกาะกลางถนน ทหารต้องถล่มแน่ เพราะทหารอยู่ตลอดทั้งสองฝั่งถนนเต็มไปหมด ...
Posted by : ทีมข่าวภูเก็ตอีนิวส์
รพ.สิริโรจน์จัดอบรม"อุบัติภัยหมู่"แก่เจ้าหน้าที่
โรงพยาบาลสิริโรจน์ (Phuket International Hospital) จัดการอบรม "อุบัติภัยหมู่" ให้แก่เจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาล เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือเหตุการณ์ฉุกเฉินต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตและจังหวัดใกล้เคียง โดยมี คุณธนันดา ชนะกุล รักษาการผู้จัดการฝ่ายการพยาบาลผู้ป่วยนอก เป็นวิทยากรในการอบรม เมื่อวันก่อน ...
Posted by : ทีมข่าวภูเก็ตอีนิวส์
วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553
วันศุกร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2553
ภูเก็ตรับจัดเกมลุ้นแชมป์กลุ่มจี AFC Cup
จังหวัดภูเก็ต รับหน้าเสื่อจัดเกม AFC Cup นัด "กิเลนผยอง" เมืองทอง ยูไนเต็ด เปิดรังชิงตำแหน่งแชมป์กลุ่ม จี กับ เซาธ์ไชน่า ของฮ่องกง หลังฝ่ายทีมเยือนร้องขอ เอเอฟซี ขอเปลี่ยนสนาม เพราะหวั่นเหตุการณ์ความไม่สงบ กำหนดฟาดแข้งที่สนามสุระกุล วันที่ 20 เม.ย.นี้ เวลา 18.00 น.
ศึกลูกหนัง AFC Cup รอบคัดเลือก กลุ่มจี นัดที่ 5 ซึ่งเป็นเกมฟาดแข้งระหว่าง "กิเลนผยอง" เมืองทอง ยูไนเต็ด แชมป์ไทยพรีเมียร์ลีก 2009 และแชมป์ฟุตบอลถ้วยพระราชทาน ประเภท ก. จะเปิดรังรับการมาเยือนของทีม เซาธ์ ไชน่า ของฮ่องกง โดยสถานการณ์ของทั้งสองทีมตอนนี้ถือว่ามีโอกาสเข้ารอบ 16 ทีมด้วยกันทั้งคู่ โดย เมืองทอง ยูไนเต็ด แข่งไป 4 นัด ชนะ 3 เสมอ 1 มีอยู่ 10 แต้ม นำเป็นจ่าฝูงของกลุ่ม ขณะที่ เซาธ์ ไชน่า ของฮ่องกง เตะ 4 นัด ชนะ 2 เสมอ 1 แพ้ 1 มี 7 แต้ม เกมนี้ เมืองทองฯ ต้องการอย่างน้อยเสมอ เพื่อรับประกันเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายแน่นอน เพราะนัดสุดท้ายทีม เซาธ์ ไชน่า ต้องไปวัดกับทาง วีบี มัลดีฟส์ เพื่อแย่งกันเข้ารอบ
ล่าสุดหลังจากมีข่าวว่าทาง เซาธ์ ไชน่า ได้ยื่นหนังสือถึงทางสมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย หรือ เอเอฟซี เพื่อขอให้เปลี่ยนสนามในเกมมาเยือน เมืองทอง ยูไนเต็ด วันที่ 20 เม.ย.จาก ยามาฮ่า สเตเดี้ยม เป็นสนามกลาง เพราะหวั่นเกรงจะไม่ปลอดภัยจากเหตุการณ์ที่ไม่สงบในกรุงเทพฯ ทาง "บิ๊กเปี๊ยก" องอาจ ก่อสินค้า เลขาธิการสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย จึงได้ตัดสินใจประสานไปยังจังหวัดภูเก็ต เพื่อจะขอให้จัดการแข่งขันแมตช์นี้ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจาก 3 ประสานคือ นายไพบูลย์ อุปัติศฤงค์ นายก อบจ.ภูเก็ต, นายปมุข อัจฉริยะฉาย ประธานโรงแรมในเครือ กะตะกรุ๊ป และ นายเอี่ยม ถาวรว่องวงศ์ ที่ปรึกษานายกส.ฟุตบอลฯ และ ประธานสโมสร เอฟซี ภูเก็ต ว่าพร้อมจะจัดการแข่งขันในนัดนี้
โดยทาง เลขาธิการ ส.ฟุตบอลฯ ได้เปิดเผยว่า ตอนนี้เป็นอันแน่นอนแล้วว่า เกมเอเอฟซีคัพ ศึกชิงแชมป์กลุ่มจี ระหว่างเมืองทอง ยูไนเต็ด กับ เซาธ์ ไชน่า ของฮ่องกง จะเตะกันที่สนามสุระกุล จ.ภูเก็ต ในวันที่ 20 เม.ย.นี้ ในเวลา 18.00 น. ซึ่งทางจังหวัดภูเก็ตมีความพร้อมในการจัดการแข่งขันแมตช์นี้อย่างแน่นอน และทาง เซาธ์ ไชน่า ก็ตอบรับจะเดินทางมาแข่งขันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ...
Posted by : ทีมข่าวภูเก็ตอีนิวส์
ศึกลูกหนัง AFC Cup รอบคัดเลือก กลุ่มจี นัดที่ 5 ซึ่งเป็นเกมฟาดแข้งระหว่าง "กิเลนผยอง" เมืองทอง ยูไนเต็ด แชมป์ไทยพรีเมียร์ลีก 2009 และแชมป์ฟุตบอลถ้วยพระราชทาน ประเภท ก. จะเปิดรังรับการมาเยือนของทีม เซาธ์ ไชน่า ของฮ่องกง โดยสถานการณ์ของทั้งสองทีมตอนนี้ถือว่ามีโอกาสเข้ารอบ 16 ทีมด้วยกันทั้งคู่ โดย เมืองทอง ยูไนเต็ด แข่งไป 4 นัด ชนะ 3 เสมอ 1 มีอยู่ 10 แต้ม นำเป็นจ่าฝูงของกลุ่ม ขณะที่ เซาธ์ ไชน่า ของฮ่องกง เตะ 4 นัด ชนะ 2 เสมอ 1 แพ้ 1 มี 7 แต้ม เกมนี้ เมืองทองฯ ต้องการอย่างน้อยเสมอ เพื่อรับประกันเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายแน่นอน เพราะนัดสุดท้ายทีม เซาธ์ ไชน่า ต้องไปวัดกับทาง วีบี มัลดีฟส์ เพื่อแย่งกันเข้ารอบ
ล่าสุดหลังจากมีข่าวว่าทาง เซาธ์ ไชน่า ได้ยื่นหนังสือถึงทางสมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย หรือ เอเอฟซี เพื่อขอให้เปลี่ยนสนามในเกมมาเยือน เมืองทอง ยูไนเต็ด วันที่ 20 เม.ย.จาก ยามาฮ่า สเตเดี้ยม เป็นสนามกลาง เพราะหวั่นเกรงจะไม่ปลอดภัยจากเหตุการณ์ที่ไม่สงบในกรุงเทพฯ ทาง "บิ๊กเปี๊ยก" องอาจ ก่อสินค้า เลขาธิการสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย จึงได้ตัดสินใจประสานไปยังจังหวัดภูเก็ต เพื่อจะขอให้จัดการแข่งขันแมตช์นี้ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจาก 3 ประสานคือ นายไพบูลย์ อุปัติศฤงค์ นายก อบจ.ภูเก็ต, นายปมุข อัจฉริยะฉาย ประธานโรงแรมในเครือ กะตะกรุ๊ป และ นายเอี่ยม ถาวรว่องวงศ์ ที่ปรึกษานายกส.ฟุตบอลฯ และ ประธานสโมสร เอฟซี ภูเก็ต ว่าพร้อมจะจัดการแข่งขันในนัดนี้
โดยทาง เลขาธิการ ส.ฟุตบอลฯ ได้เปิดเผยว่า ตอนนี้เป็นอันแน่นอนแล้วว่า เกมเอเอฟซีคัพ ศึกชิงแชมป์กลุ่มจี ระหว่างเมืองทอง ยูไนเต็ด กับ เซาธ์ ไชน่า ของฮ่องกง จะเตะกันที่สนามสุระกุล จ.ภูเก็ต ในวันที่ 20 เม.ย.นี้ ในเวลา 18.00 น. ซึ่งทางจังหวัดภูเก็ตมีความพร้อมในการจัดการแข่งขันแมตช์นี้อย่างแน่นอน และทาง เซาธ์ ไชน่า ก็ตอบรับจะเดินทางมาแข่งขันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ...
Posted by : ทีมข่าวภูเก็ตอีนิวส์
มีแสงแห่งความเป็นธรรมไรๆ...จากสื่อ "ไทยรัฐ"
คอลัมน์ กล้าได้ กล้าเสีย โดย สายล่อฟ้า : ประจำวันศุกร์ที่ 16 เมษายน 2553 เวลา 05.00 น.
โคมลอย
จนถึงวันนี้ รัฐบาลก็ยังเดินหลงทางไปเรื่อยๆ จนบางครั้งทำให้คิดว่า รัฐบาลชุดนี้โง่หรือแกล้งโง่กันแน่ก็ไม่รู้ เพราะหลายฝ่ายได้เสนอหนทางที่ดีในการแก้ปัญหาความขัดแย้งให้รัฐบาลนำไป ตัดสินใจมากมาย แต่รัฐบาลก็ยังทู่ซี้จะเลือกใช้วิธีที่จะทำให้ปัญหาลุกลามบานปลายไม่หยุด เหมือนลึกๆแล้วกลัวอะไรบางอย่างอยู่ในใจ จนไม่กล้าที่จะเลือกใช้วิธีอื่น
นอกจากจะต้องยืนกระต่ายขาเดียว หลับหูหลับตาใช้อำนาจตามกฎหมายสู้กับม็อบเสื้อแดง โดยยังเชื่อมั่นว่า เคยทำสำเร็จมาแล้วในช่วงเหตุการณ์ม็อบเสื้อแดงชุมนุมเมื่อเดือนเมษายนปีก่อน และเชื่อว่าหากนำวิธีการเดิมๆมาใช้อีก ก็จะสำเร็จอย่างแน่นอน
แต่ผิดคาด คราวนี้ปัจจัยหลายอย่างเปลี่ยนไป แต่รัฐบาลยังเลือกใช้วิธีการเดิมๆ ก็เลยไม่สำเร็จตามที่ตั้งใจเอาไว้ สถานการณ์กลับลุกลามบานปลายมากขึ้น โดยเฉพาะกำลังทหารที่นำออกมาใช้อย่างมากมายนั้น ได้ทำให้เกิดความสูญเสียชีวิตของทั้งสองฝ่ายจำนวนมาก
รัฐบาลไม่สามารถโยนความผิดไปให้ม็อบเสื้อแดงที่มีแต่คนมือเปล่าได้ ก็เลยโยนความผิดไปให้ผู้ก่อการร้ายชุดดำ ซึ่งมีการจับภาพได้ว่า ใช้อาวุธสงครามร้ายแรงเล็งยิงในช่วงที่มีการปะทะระหว่างทหารกับม็อบเสื้อแดง
ฉะนั้น เรื่องนี้จะต้องมีการพิสูจน์กันต่อไปว่า ผู้ก่อการร้ายตามคำนิยามของรัฐบาลอภิสิทธิ์เป็นใคร เพราะตามความเห็นของผม เป็นไปได้ว่า อาจเป็นคนของทางการ และไม่ใช่คนของทางการ เรื่องนี้ต้องจับตัวเป็นๆ มายืนยันกันตรงหน้า หากจับไม่ได้ก็เชื่อใครไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นนายกฯ หรือแกนนำเสื้อแดง
สำหรับประเด็นใหญ่ที่ควรนำมาถกเถียงกันให้ชัดเจนก็คือ ข้อกล่าวหาจากรัฐบาลที่ระบุว่า ผู้ก่อการร้ายกลุ่มนี้มีเป้าหมายต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศ โดยรัฐบาลไม่ได้บอกให้ชัดเจนว่า คนกลุ่มนี้ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศไปอย่างไร และไม่ได้แสดงหลักฐานต่อสาธารณชนให้ชัดเจนว่า จริงหรือไม่ที่มีคนกลุ่มหนึ่งต้องการสร้างความรุนแรงเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทย
ข้อสำคัญ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 เมษายน หากพิจารณาแล้ว ก็เป็นความรุนแรงที่เกิดจากการสั่งให้ทหารเข้ามาสลายม็อบจนมีการยิงต่อสู้กันเกิดขึ้น หากรัฐบาลเลือกที่ไม่ใช้กำลังทหารเข้าสลายม็อบ แต่ยุบสภา เหตุการณ์ก็จะออกมาดีกว่านี้ อย่างน้อยก็จะไม่มีการปะทะกันจนบาดเจ็บล้มตายมากมายแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น ผมเชื่อมั่นว่าไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่สามารถมาเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ไปตามอำเภอใจได้ง่ายๆ เพราะการเปลี่ยนแปลงประเทศต้องถามความเห็นประชาชนทั้งประเทศเสียก่อน รัฐบาลอภิสิทธิ์จะมาทำตัวเป็นฮีโร่ สำคัญตนผิดคิดว่าเป็นผู้ขัดขวางการเปลี่ยนแปลงประเทศ ผมว่าออกจะเว่อร์เกินไป เพราะถึงไม่มีรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ใช่ว่าใครหน้าไหนจะมาทำอะไรตามอำเภอใจในบ้าน เมืองของเราได้ง่ายๆ
ฉะนั้น ประเด็นสำคัญตอนนี้จึงไม่ได้อยู่ที่ว่า มีผู้ก่อการร้ายหรือมีใครคิดเปลี่ยนแปลงประเทศหรือไม่
แต่อยู่ที่รัฐบาลชุดนี้ ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบต่อการบริหารประเทศเพื่อให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุขแก่ ประชาชนโดยทั่วไป ไม่มีความสามารถจะกระทำภารกิจดังกล่าวให้สำเร็จลุล่วงต่างหาก
สาเหตุก็เพราะรัฐบาลกลัวแพ้เลือกตั้ง เลยไม่กล้ายุบสภา ไม่กล้าใช้กลไกประชาธิปไตยเข้ามาตัดสินปัญหาเฉพาะหน้า และไม่มีวิธีการที่ดีพอในการจัดการแก้ปัญหาความขัดแย้งในระยะยาวด้วยกลไก ประชามติ
ตอนนี้เท่าที่ทำได้ก็คือ ปล่อยข่าวโคมลอยเพื่อเอาตัวรอดไปเรื่อยๆ เท่านั้นเอง...
ที่มา : http://www.thairath.co.th/column/pol/gladai/76920
Posted by : ทีมข่าวภูเก็ตอีนิวส์
โคมลอย
จนถึงวันนี้ รัฐบาลก็ยังเดินหลงทางไปเรื่อยๆ จนบางครั้งทำให้คิดว่า รัฐบาลชุดนี้โง่หรือแกล้งโง่กันแน่ก็ไม่รู้ เพราะหลายฝ่ายได้เสนอหนทางที่ดีในการแก้ปัญหาความขัดแย้งให้รัฐบาลนำไป ตัดสินใจมากมาย แต่รัฐบาลก็ยังทู่ซี้จะเลือกใช้วิธีที่จะทำให้ปัญหาลุกลามบานปลายไม่หยุด เหมือนลึกๆแล้วกลัวอะไรบางอย่างอยู่ในใจ จนไม่กล้าที่จะเลือกใช้วิธีอื่น
นอกจากจะต้องยืนกระต่ายขาเดียว หลับหูหลับตาใช้อำนาจตามกฎหมายสู้กับม็อบเสื้อแดง โดยยังเชื่อมั่นว่า เคยทำสำเร็จมาแล้วในช่วงเหตุการณ์ม็อบเสื้อแดงชุมนุมเมื่อเดือนเมษายนปีก่อน และเชื่อว่าหากนำวิธีการเดิมๆมาใช้อีก ก็จะสำเร็จอย่างแน่นอน
แต่ผิดคาด คราวนี้ปัจจัยหลายอย่างเปลี่ยนไป แต่รัฐบาลยังเลือกใช้วิธีการเดิมๆ ก็เลยไม่สำเร็จตามที่ตั้งใจเอาไว้ สถานการณ์กลับลุกลามบานปลายมากขึ้น โดยเฉพาะกำลังทหารที่นำออกมาใช้อย่างมากมายนั้น ได้ทำให้เกิดความสูญเสียชีวิตของทั้งสองฝ่ายจำนวนมาก
รัฐบาลไม่สามารถโยนความผิดไปให้ม็อบเสื้อแดงที่มีแต่คนมือเปล่าได้ ก็เลยโยนความผิดไปให้ผู้ก่อการร้ายชุดดำ ซึ่งมีการจับภาพได้ว่า ใช้อาวุธสงครามร้ายแรงเล็งยิงในช่วงที่มีการปะทะระหว่างทหารกับม็อบเสื้อแดง
ฉะนั้น เรื่องนี้จะต้องมีการพิสูจน์กันต่อไปว่า ผู้ก่อการร้ายตามคำนิยามของรัฐบาลอภิสิทธิ์เป็นใคร เพราะตามความเห็นของผม เป็นไปได้ว่า อาจเป็นคนของทางการ และไม่ใช่คนของทางการ เรื่องนี้ต้องจับตัวเป็นๆ มายืนยันกันตรงหน้า หากจับไม่ได้ก็เชื่อใครไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นนายกฯ หรือแกนนำเสื้อแดง
สำหรับประเด็นใหญ่ที่ควรนำมาถกเถียงกันให้ชัดเจนก็คือ ข้อกล่าวหาจากรัฐบาลที่ระบุว่า ผู้ก่อการร้ายกลุ่มนี้มีเป้าหมายต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศ โดยรัฐบาลไม่ได้บอกให้ชัดเจนว่า คนกลุ่มนี้ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศไปอย่างไร และไม่ได้แสดงหลักฐานต่อสาธารณชนให้ชัดเจนว่า จริงหรือไม่ที่มีคนกลุ่มหนึ่งต้องการสร้างความรุนแรงเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทย
ข้อสำคัญ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 เมษายน หากพิจารณาแล้ว ก็เป็นความรุนแรงที่เกิดจากการสั่งให้ทหารเข้ามาสลายม็อบจนมีการยิงต่อสู้กันเกิดขึ้น หากรัฐบาลเลือกที่ไม่ใช้กำลังทหารเข้าสลายม็อบ แต่ยุบสภา เหตุการณ์ก็จะออกมาดีกว่านี้ อย่างน้อยก็จะไม่มีการปะทะกันจนบาดเจ็บล้มตายมากมายแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น ผมเชื่อมั่นว่าไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่สามารถมาเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ไปตามอำเภอใจได้ง่ายๆ เพราะการเปลี่ยนแปลงประเทศต้องถามความเห็นประชาชนทั้งประเทศเสียก่อน รัฐบาลอภิสิทธิ์จะมาทำตัวเป็นฮีโร่ สำคัญตนผิดคิดว่าเป็นผู้ขัดขวางการเปลี่ยนแปลงประเทศ ผมว่าออกจะเว่อร์เกินไป เพราะถึงไม่มีรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ใช่ว่าใครหน้าไหนจะมาทำอะไรตามอำเภอใจในบ้าน เมืองของเราได้ง่ายๆ
ฉะนั้น ประเด็นสำคัญตอนนี้จึงไม่ได้อยู่ที่ว่า มีผู้ก่อการร้ายหรือมีใครคิดเปลี่ยนแปลงประเทศหรือไม่
แต่อยู่ที่รัฐบาลชุดนี้ ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบต่อการบริหารประเทศเพื่อให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุขแก่ ประชาชนโดยทั่วไป ไม่มีความสามารถจะกระทำภารกิจดังกล่าวให้สำเร็จลุล่วงต่างหาก
สาเหตุก็เพราะรัฐบาลกลัวแพ้เลือกตั้ง เลยไม่กล้ายุบสภา ไม่กล้าใช้กลไกประชาธิปไตยเข้ามาตัดสินปัญหาเฉพาะหน้า และไม่มีวิธีการที่ดีพอในการจัดการแก้ปัญหาความขัดแย้งในระยะยาวด้วยกลไก ประชามติ
ตอนนี้เท่าที่ทำได้ก็คือ ปล่อยข่าวโคมลอยเพื่อเอาตัวรอดไปเรื่อยๆ เท่านั้นเอง...
ที่มา : http://www.thairath.co.th/column/pol/gladai/76920
Posted by : ทีมข่าวภูเก็ตอีนิวส์
ทหารไทยเก่งจัง...กับคนไม่มีทางสู้
อีกมุมหนึ่งของเหตุการณ์การสลายการชุมนุมของทหาร ที่ถูกคำสั่งของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ในฐานะผู้อำนวยการ ศอฉ. ให้ทำการเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง (แม้จะเป็นเวลากลางคืน) เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการถ่ายบันทึกภาพได้ที่บริเวณถนนตะนาว และถูกนำไปเผยแพร่ในเว็บไซด์ CNN iReport
ในวีดีโอดังกล่าวเป็นภาพของกลุ่มทหารที่เข้าทำร้ายคนเสื้อแดงที่นั่งอยู่กับพื้น โดยทุบตีและเตะอย่างเมามันส์ ทั้งๆ ที่ชายคนดังกล่าวไม่มีทางสู้เลยแม้แต่น้อย สร้างความอดสูใจต่อการปฏิบัติหน้าที่ของทหารไทยเป็นอย่างมาก ...
ที่มา : CNNiReport
Posted by : ทีมข่าวภูเก็ตอีนิวส์
ศอฉ.ลุแก่อำนาจเรียกบุคคล 50-60 คนรายงานตัวที่ราบ11
นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โฆษกรัฐบาล เปิดเผยหลังการประชุม ศอฉ.มีมติออกคำสั่งภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดยมีคำสั่งให้เรียกนักการเมือง นักธุรกิจ 50-60 คนมารายงานตัวที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ในวันนี้ (16 เม.ย.)
"การเรียกบุคคลให้มารายงานตัวเป็นคำสั่งตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดยพิจารณาร่วมกันหลายฝ่ายแล้วเบื้องต้น เห็นว่าน่าจะมีไม่ต่ำกว่า 50-60 คน ซึ่งเป็นอีกกลุ่มบุคคลหนึ่งที่ไม่เกี่ยวกับหมายจับแกนนำ นปช.จำนวน 24 คนก่อนหน้านี้ โดยในส่วนนี้จะมีทั้ง นักการเมืองระดับสูง อดีตรัฐมนตรี และนักธุรกิจ อาทิ นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์, นายพงศศักดิ์ รักตพงษ์ไพศาล, พล.ต.อ.ชัจจ์ กุลดิลก เป็นต้น ซึ่งได้มีการส่งจดหมายไปถึงกลุ่มบุคคลดังกล่าวโดยตรงแล้ว มีการระบุเวลาที่ชัดเจนให้มารายงานตัว ส่วนบางคนที่ไม่ได้อยู่ในกทม.จะให้ไปรายงานในตัวในพื้นที่ 6 แห่งทั่วประเทศวันนี้ เช่นเดียวกัน" นายปณิธาน กล่าว ...
Posted by : ทีมข่าวภูเก็ตอีนิวส์
"การเรียกบุคคลให้มารายงานตัวเป็นคำสั่งตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดยพิจารณาร่วมกันหลายฝ่ายแล้วเบื้องต้น เห็นว่าน่าจะมีไม่ต่ำกว่า 50-60 คน ซึ่งเป็นอีกกลุ่มบุคคลหนึ่งที่ไม่เกี่ยวกับหมายจับแกนนำ นปช.จำนวน 24 คนก่อนหน้านี้ โดยในส่วนนี้จะมีทั้ง นักการเมืองระดับสูง อดีตรัฐมนตรี และนักธุรกิจ อาทิ นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์, นายพงศศักดิ์ รักตพงษ์ไพศาล, พล.ต.อ.ชัจจ์ กุลดิลก เป็นต้น ซึ่งได้มีการส่งจดหมายไปถึงกลุ่มบุคคลดังกล่าวโดยตรงแล้ว มีการระบุเวลาที่ชัดเจนให้มารายงานตัว ส่วนบางคนที่ไม่ได้อยู่ในกทม.จะให้ไปรายงานในตัวในพื้นที่ 6 แห่งทั่วประเทศวันนี้ เช่นเดียวกัน" นายปณิธาน กล่าว ...
Posted by : ทีมข่าวภูเก็ตอีนิวส์
วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2553
การ์ด นปช.ปัดเป็นผู้ก่อการร้ายหลังภาพถูกโชว์ว่อนผ่านสื่อ
วันนี้ (15 เม.ย.) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่ม นปช. นำ นายเกรียงไกร จันทร์สมบูรณ์ อายุ 40 ปี การ์ด นปช.ที่เป็นชาว จ.ปทุมธานี มาแสดงตัวต่อหน้าสื่อมวลชน เพื่อยืนยันว่า ไม่ใช่กองกำลังติดอาวุธตามที่รัฐบาลพยายามใส่ร้ายและกล่าวหา โดย นายเกรียงไกร กล่าวว่า จากการที่ออกมาแถลงข่าวครั้งนี้ เพราะตนรู้สึกไม่สบายใจ ที่หน้าตาตนถูกปรากฏตามสื่อต่างๆ และรัฐบาลพยามยามใส่ร้ายว่าตนเป็นพวกผู้ก่อการร้าย ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้วตนเป็นการ์ดของ นปช.ปทุมธานี และได้เข้ามาสมทบเป็นการ์ด นปช.ส่วนกลาง ส่วนภาพที่ถ่ายนั้นเป็นการถ่ายที่บริเวณด้านหลังเวทีผ่านฟ้า ให้สังเกตุบริเวณด้านหลังในภาพจะปรากฎว่ามีขาเวทีปรากฎอยู่ ซึ่งก็ต้องขอร้องว่ารัฐบาลเลิกใส่ร้ายป้ายสีได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม สำหรับอาวุธที่ยึดมาจากทหารในวันเกิดเหตุนั้นได้นำส่งให้แกนนำ เพื่อทำการแถลงข่าว และส่งมอบให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อคืนให้ทหารแล้ว ...
Posted by : ทีมข่าวภูเก็ตอีนิวส์
อย่างไรก็ตาม สำหรับอาวุธที่ยึดมาจากทหารในวันเกิดเหตุนั้นได้นำส่งให้แกนนำ เพื่อทำการแถลงข่าว และส่งมอบให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อคืนให้ทหารแล้ว ...
Posted by : ทีมข่าวภูเก็ตอีนิวส์
วันพุธที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2553
วันอังคารที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2553
วันจันทร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2553
วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2553
อาวุธสงครามที่ทหารนำมาใช้ปราบประชาชน
จากเหตุการณ์เข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่บริเวณสี่แยกคอกวัว และที่บริเวณหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ใกล้วงเวียนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จนส่งผลให้มีประชาชนและทหารบาดเจ็บ ล้มตายเป็นจำนวนมาก เมื่อช่วงบ่ายจนถึงดึกของวันเสาร์ที่ 10 เมษายน ที่ผ่านมา
ภายหลังเหตุการณ์สงบ กลุ่มคนเสื้อแดงสามารถตรึงพื้นที่คืนได้หมด พร้อมทั้งสามารถยึดอาวุธที่ทหารนำมาใช้ในการปราบปรามและทำการสลายการชุมนุมในครั้งนี้เป็นจำนวนมาก โดยมีการนำขึ้นมาประจานต่อหน้าประชาชนบนเวทีสะพานผ่านฟ้า ...
Posted by : ทีมข่าวภูเก็ตอีนิวส์
ภายหลังเหตุการณ์สงบ กลุ่มคนเสื้อแดงสามารถตรึงพื้นที่คืนได้หมด พร้อมทั้งสามารถยึดอาวุธที่ทหารนำมาใช้ในการปราบปรามและทำการสลายการชุมนุมในครั้งนี้เป็นจำนวนมาก โดยมีการนำขึ้นมาประจานต่อหน้าประชาชนบนเวทีสะพานผ่านฟ้า ...
Posted by : ทีมข่าวภูเก็ตอีนิวส์
วันเสาร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2553
ทหารทิ้งแก๊สน้ำตาจากเฮลิคอปเตอร์
ในช่วงเวลาประมาณ 17.00 น. วันนี้ (10 เม.ย.) ปฎิบัติการณ์ของทหารที่พยายามเข้าปิดล้อมกลุ่มคนเสื้อแดงบริเวณเวทีสะพานผ่านฟ้า ได้เพิ่มแรงกดดันต่อกลุ่มผู้ชุมนุมมากยิ่งขึ้นด้วยการส่งเฮลิคอปเตอร์จำนวนหลายลำบินวนผ่านบริเวณที่ชุมนุมพร้อมทั้งขว้างระเบิดแก๊สน้ำตาลงมาใส่กลุ่มผู้ชุมนุมนับร้อยลูก สร้างความโกลาหลให้แก่ผู้ชุมนุมและผู้ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง ทั้งประชาชนทั่วไปและผู้สื่อข่าว ต่างปวดแสบปวดร้อนจากแก๊สน้ำตาเป็นอย่างมาก ...
Posted by : ทีมข่าวภูเก็ตอีนิวส์
Posted by : ทีมข่าวภูเก็ตอีนิวส์
วันศุกร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2553
นศ.มช.จบหลักสูตรฝึกงานเภสัชศาสตร์
เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2553 คุณเพ็ญศรี ตันติชูวงศ์ ผู้จัดการฝ่ายบริการทางการแพทย์ และ ภก.ขจรพร สุริไพศาลสกุล หัวหน้าแผนกเภสัชกรรม โรงพยาบาลสิริโรจน์ (Phuket International Hospital) ร่วมถ่ายภาพ พร้อมแสดงความยินดีแก่นักศึกษาฝึกงานจาก คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในโอกาสสำเร็จหลักสูตรการฝึกงานในแผนกเภสัชกรรมของโรงพยาบาล ...
Posted by : ทีมข่าวภูเก็ตอีนิวส์
Posted by : ทีมข่าวภูเก็ตอีนิวส์
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)